เชื่อแน่ว่าคงไม่มีใครอยากเข้า “เรือนจำ” หรือ “คุก” อย่างแน่นอน แต่ก็มีหลายคนที่กระทำผิดกฎหมายอาจทั้งตั้งใจพลั้งเผลอ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม จนทำให้ถูกจับมาดำเนินคดีและศาลตัดสินโทษให้จำคุกตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่ง “เรือนจำ” หรือ “คุก” นั้นมีลักษณะเป็นห้องขังที่เรียงรายกันเป็นแนวเพื่อใช้สำหรับกักขังหรือจองจำผู้ต้องขัง (นักโทษ) ด้วยความที่เราสนใจใคร่รู้เรื่องชีวิตประจำวันของนักโทษในเรือนจำ เราจึงเสาะหาข้อมูลต่าง ๆ มากมายจนมาเจอสถานที่เที่ยวที่ตอบโจทย์ความสงสัยในเรื่องนี้อยู่พอดี นั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์” จังหวัดนนทบุรีค่ะ ถ้าพร้อมแล้วไปชมกันเลยจ้า ^^“พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์” ตั้งอยู่ข้างกรมราชทัณฑ์ หรือเยื้อง ๆ กับเรือนจำบางขวาง สามารถนั่งเรือด่วนเจ้าพระยาสีส้มมาลงที่ ‘ท่าน้ำนนทบุรี’ ได้เลย ซึ่งภายในพื้นที่พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์นั้นมีอาคารทั้งหมด 3 หลังที่จัดแสดงเรื่องราวแตกต่างกัน ได้แก่ ‘อาคารหลังแรก’ จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับกรมราชทัณฑ์และประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์, ‘อาคารหลังที่สอง’ ชั้นล่างเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับประวัติการลงทัณฑ์ของไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันทั้งเครื่องพันธนาการ/เครื่องมือการลงทัณฑ์ในอดีตและจำลองการประหารชีวิต ส่วนชั้นบนเป็นนิทรรศการเกี่ยวกับวิวัฒนาการการคุกการตะราง, กิจวัตรประจำวันและชีวิตความเป็นอยู่ของนักโทษ, การฝึกวิชาชีพของผู้ต้องขัง, การแต่งกายของข้าราชการราชทัณฑ์ และ ‘อาคารที่สาม’ หรือ ‘อาคารหับเผย’ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ชั้นด้วยกันคือ ชั้น 1 เป็นร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ด้วยฝีมือผู้ต้องขังภายใต้แบรนด์ ‘หับเผย’ ตามแนวคิดที่ว่า “ราชทัณฑ์แก้ไข คนไทยให้โอกาส” และชั้น 2 เป็นร้าน ‘หับเผย คาเฟ่’ จำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม เบเกอรี่ พร้อมการแสดงดนตรีจากผู้ต้องขังค่ะนอกจากนั้นยังมี ‘คุกขี้ไก่ (จำลอง) ร.ศ.๑๑๒’ ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารจัดแสดง ซึ่ง ‘คุกขี้ไก่’ หรือ ‘ป้อมฝรั่งเศส’ เป็นคุกโบราณของฝรั่งเศสที่ได้เข้ามายึดครองจังหวัดจันทบุรีเมื่อปี พ.ศ.2436 เพื่อใช้กักขังนักโทษชาวไทยที่ได้ต่อต้านฝรั่งเศส แต่ไม่เคยได้ใช้งาน โดยคุกขี้ไก่มีลักษณะเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจุตรัส ขนาดกว้าง 4 เมตร สูง 10 เมตร ชั้นบนเป็นที่เลี้ยงไก่สำหรับถ่ายมูลใส่ศีรษะนักโทษที่อยู่ด้านล่าง ปัจจุบันคุกขี้ไก่ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 ตำบลปากแหลมสิงห์ อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรีค่ะหลังจากชมบรรยากาศโดยรอบและคุกขี้ไก่ (จำลอง) ร.ศ.๑๑๒ แล้วก็เดินเข้าไปภายในอาคารจัดแสดงหลังแรก แต่ก่อนอื่นต้องลงทะเบียนเข้าชมนิทรรศการที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์บริเวณด้านข้างประตูทางเข้า จากนั้นก็เดินชมบอร์ดป้ายความรู้ที่จัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับการราชทัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นการราชทัณฑ์กับจังหวัดนนทบุรี, กว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ และ ‘คุกมีไว้ทำไม’ คำถามที่ต้องค้นหาคำตอบค่ะพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์จัดตั้งขึ้นครั้งแรกตามแนวคิดของ ‘พ.อ.ขุนศรีศรากร (ชลอ ศรีธนากร)’ ที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ในสมัยนั้นได้รวบรวมวัตถุเกี่ยวกับการลงโทษและวัตถุโบราณจากเรือนจำต่าง ๆ ทั่วประเทศมาจัดแสดงที่เรือนจำกลางบางขวางเมื่อปี พ.ศ.2482 ต่อมาในปี พ.ศ.2542 ได้ย้ายไปจัดแสดงที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร หรือคุกเก่าภายในสวนรมณีนาถ แล้วปิดทำการไปนานกว่า 8 ปี และย้ายที่ทำการมาที่สถาบันพัฒนาข้าราชการราชทัณฑ์ จังหวัดนนทบุรี ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้ประชาชนเยี่ยมชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2566 ค่ะอาคารหลังแรกนอกจากจัดแสดงบอร์ดป้ายความรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์แล้วยังมีการจำลองห้องขัง, กลองตีบอกเวลาช่วงกลางคืนในเรือนจำสมัย ร.ศ.๑๒๖ และกลองโบราณที่ขุดพบในปี พ.ศ.2521 ระหว่างก่อสร้างที่ทำการเรือนจำจังหวัดกำแพงเพชรค่ะชมนิทรรศการในอาคารหลังแรกแล้วก็เดินทะลุผ่านตามทางเดินที่มีรั้วเหล็กกั้นเป็นซี่ ๆ จำลองบรรยากาศเรือนจำได้เสมือนจริงไปยังอาคารหลังที่สอง ซึ่งชั้นล่างของอาคารหลังนี้จัดแสดงนิทรรศการ ‘การลงทัณฑ์กับกาลเวลาที่เปลี่ยนผ่าน’ ที่จำลองการลงทัณฑ์ของผู้ต้องขังในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ การลงทัณฑ์ด้วยขื่อ, ตะโหงก, กลังหรือคลัง, สมอบก, ตะกร้อ, คาไม้ไผ่, เบ็ดเหล็ก, ฆ้อนตอกเล็บ และหีบทรมานค่ะการลงทัณฑ์ด้วย ‘ตะโหงก’ – ทำด้วยไม้คล้ายขื่อ แต่ยาวกว่า 3 เท่าและสวมไว้ที่คอ สามารถใช้มือทำงานได้แต่หลบหนียากเพราะเกะกะ มักใช้กับนักโทษที่มีโทษหนักหรือผู้ร้ายสำคัญที่ถูกส่งไปยังที่คุมขัง เพื่อป้องกันการหลบหนีระหว่างทางการลงทัณฑ์ด้วย ‘เบ็ดเหล็ก’ – เป็นการเกี่ยวเบ็ดเหล็กเข้าไปใต้คางของผู้ต้องโทษ แล้วชักรอกให้เท้าลอยพ้นพื้นดิน ไม่ให้คางหลุดจากเบ็ดเหล็กการลงทัณฑ์ด้วย ‘ฆ้อนตอกเล็บ’ – เป็นการใช้ปลายไม้ข้างแหลมที่ทำด้วยไม้แก่นใส่เข้าไประหว่างเล็บและเนื้อแล้วใช้ฆ้อนตอกไม้ปลายแหลมเข้าไปในเล็บชมโซนจำลองการลงทัณฑ์ของผู้ต้องขังในรูปแบบต่าง ๆ แล้วก็เป็นโซนการจำลองการประหารชีวิตแต่ละรูปแบบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่มีทั้งการประหารชีวิตด้วยดาบ หรือ ‘การกุดหัว’, การประหารชีวิตด้วยปืน และการประหารชีวิตด้วยการฉีดยา ซึ่งการประหารชีวิตแต่ละรูปแบบจะมีป้ายแสดงความรู้เกี่ยวกับวิธีการและขั้นตอนการประหารชีวิตค่ะการประหารชีวิตด้วยดาบ หรือ ‘การกุดหัว’ เป็นการลงโทษประหารชีวิตในสมัยโบราณด้วยการใช้ดาบฟันคอนักโทษให้ขาด ซึ่งดาบที่ใช้ประหารชีวิตมีทั้งดาบปลายแหลม, ดาบปลายตัด และดาบหัวปลาไหล ทั้งนี้ครูเพชฌฆาตเป็นผู้จัดทำดาบขึ้นและเป็นผู้ตัดสินว่าจะให้เพชฌฆาตใช้ดาบชนิดใดประหารชีวิตนักโทษ โดยเพชฌฆาตผู้ทำหน้าที่ประหารชีวิตมี 3 คน คือดาบที่หนึ่ง และตัวสำรองอีก 2 คนเรียกว่าดาบสองและดาบสาม หากดาบหนึ่งฟันคอไม่ขาด ดาบสองจะต้องซ้ำ แต่ถ้ายังไม่ขาด ดาบสามก็ต้องเชือดให้ขาดค่ะการประหารชีวิตด้วยปืน เป็นการลงโทษประหารชีวิตด้วยการยิงปืน ซึ่งปืนกลมือที่ใช้ประหารชีวิตครั้งแรกเป็นปืนกลมือแบล็คมันต์ ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นปืนกลแบบเอชเค โดยนำนักโทษมามัดตัวเข้ากับหลักประหารด้วยด้ายดิบในลักษณะยืนประนมมือกำดอกไม้ธูปเทียนหันหน้าเข้ากับหลักประหารแล้ว เจ้าหน้าที่จะนำฉากประหารที่มีเป้าวงกลมติดอยู่กับฉากตั้งเล็งให้ตรงจุดกลางหัวใจนักโทษ ห่างจากด้านหลังของนักโทษประมาณ 1 ฟุต เพื่อกำบังไม่ให้เจ้าหน้าที่ผู้ลั่นไกปืนเห็นตัวนักโทษ และแท่นปืนประหารตั้งอยู่ห่างจากฉากประหารประมาณ 4 เมตร เมื่อพร้อมแล้วเจ้าหน้าที่จะให้สัญญาณด้วยการโบกธงสีแดง ผู้ทำหน้าที่เพชฌฆาตจึงลั่นไกปืนยิงนักโทษให้เสียชีวิต ต่อมาการประหารชีวิตด้วยปืนถูกยกเลิกในปี พ.ศ.2546 เป็นต้นมาค่ะการประหารชีวิตด้วยการฉีดยา เป็นการลงโทษประหารชีวิตด้วยการฉีดสารพิษเข้าสู่ร่างกายของนักโทษให้ถึงแก่ความตาย โดยนำตัวนักโทษมานอนบนเตียงประหารและใช้เข็มขัดรัดตัวนักโทษเข้ากับเตียงให้แน่นแล้วจึงต่อสายน้ำเกลือที่หลังมือนักโทษเพื่อปล่อยน้ำเกลือที่ยังไม่มีสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดก่อนปิดทางเดินน้ำเกลือแล้วดำเนินการฉีดสารพิษ 3 ชนิดเข้าไปในสายน้ำเกลือ ได้แก่ ‘สารโซเดียมเพนโททัล ชนิดผงละลายน้ำ’ ปริมาณ 20 - 25 ซีซี เพื่อให้หลับลึก ไม่รู้สึกตัว, ‘สารแพนคูโรเนียมโบรไมด์ ชนิดน้ำ’ ปริมาณ 50 ซีซี เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวและระบบการหายใจหยุดทำงาน และ ‘สารโพแทสเซียมคลอไรด์ ชนิดน้ำ’ ปริมาณ 50 ซีซี เพื่อให้หัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิต ซึ่งการประหารชีวิตด้วยวิธีนี้ถือเป็นการประหารชีวิตที่ทำให้นักโทษทรมานน้อยที่สุดค่ะถัดมาก็จะเป็นโซนจัดแสดงเครื่องพันธนาการต่าง ๆ เช่น หวาย, ไม้บีบขมับ, ไม้ขาหย่าง, ไม้เสาหลักกลม, เหล็กร้อย, เหล็กครอบสะเอว, กุญแจมือ และตรวนชนิดต่าง ๆ ค่ะส่วนมุมข้างบันไดขึ้นสู่ชั้นบนเป็นมุมจัดแสดงดาบประหารเมื่อครั้งที่มีการประหารชีวิตด้วยดาบ ซึ่งเป็นดาบโบราณที่มีทั้งดาบปลายแหลม, ดาบหัวตัด และดาบหัวปลาไหล รวมถึงยังมีดาบประหารของ ‘นายเหรียญ เพิ่มกำลังเมือง’ เพชฌฆาตคนสุดท้ายของไทย โดยมีภาพวาดนายเหรียญติดอยู่บนผนังค่ะหลังจากชมนิทรรศการชั้นล่างแล้วก็เดินขึ้นบันไดไปชมชั้นบนกันต่อ โดยเริ่มจากมุมจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘การคุก การตะราง กับกาลเวลาที่เปลี่ยนผ่าน’ ซึ่งเป็นบอร์ดป้ายความรู้แสดงถึงวิวัฒนาการการคุก การตะรางของไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา, สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น และสมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่อยมาจนถึงรัชกาลที่ ๙ นอกจากนั้นในตู้กระจกยังจัดแสดงลายพระราชหัตถเลขาในหมายปล่อยตัวนักโทษของรัชกาลที่ ๕, รัชกาลที่ ๖, รัชกาลที่ ๙ และรัชกาลปัจจุบันที่หาชมได้ยากค่ะถัดมาอีกนิดเป็นมุมจัดแสดงป้ายความรู้เกี่ยวกับตำแหน่งเจ้าหน้าที่คุก ตะรางในสมัยรัตนโกสินทร์ และบนพื้นด้านหน้าป้ายความรู้มีข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณที่ใช้ในเรือนจำจัดแสดงอีกด้วย เช่น ตู้กุญแจ, เครื่องคิดเลข, โทรศัพท์, กำปั่น, เครื่องอัดผ้า, เตารีด, กาน้ำชา และเครื่องพิมพ์ดีดค่ะหลังจากเดินผ่าน ‘ประตูหับเผย’ (ประตูระหว่างทางเข้าเรือนจำไปสู่คุก เปิด-ปิดเป็นเวลา) แบบจำลองแล้ว ด้านในแบ่งเป็นหลายโซนด้วยกัน เช่น โซนกิจวัตรประจำวันของนักโทษ, โซนจัดแสดงเครื่องหมาย-เครื่องแบบข้าราชการราชทัณฑ์ในยุคต่าง ๆ, โซนจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้สมัยโบราณ, โซนภาพเรือนจำต่างจังหวัดในอดีตและจัดแสดงตรวนชนิดต่าง ๆ-อาวุธปืนโบราณ และโซนโครงการในพระราชดำริฯ ยุคปัจจุบันค่ะโซนกิจวัตรประจำวันของนักโทษ เป็นการจำลองบรรยากาศและจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในเรือนจำ เช่น ห้องขัง, ช่องลม, โครงกระดูก, เครื่องโม่โบราณ, ฆ้อง, ภาชนะใส่อาหารของผู้ต้องขัง, ท่อส่งน้ำโบราณ, กระทะหุงต้มอาหาร, ครกไม้โบราณ, แผนผังของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และตัวอย่างตะกร้าหวายที่เป็นผลงานการฝึกวิชาชีพของนักโทษสามภาพบนที่เห็นอยู่นี้เป็นเครื่องโม่โบราณ, ฆ้อง, ภาชนะใส่อาหารของผู้ต้องขัง, ท่อส่งน้ำโบราณ, กระทะหุงต้มอาหารที่ใช้สำหรับหุงข้าวกับประกอบอาหารให้ผู้ต้องขัง ซึ่งกระทะหนึ่งจะหุงข้าวได้ 1 กระสอบ ใช้เลี้ยงผู้ต้องขัง 400 คน และครกไม้โบราณค่ะแผนผังของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เป็นรูปแบบเรือนจำในอดีต ซึ่งพระยาอินทราธิบดี สีหราชรองเมือง (เนียม) เจ้ากรมกองตระเวนเป็นผู้ออกแบบ และมิสเตอร์แกรซีนี นายห้างชนชาติอังกฤษเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยแผนผังเรือนจำนี้เป็นการจำลองอาคารต่าง ๆ ภายในเรือนจำ เช่น ตึกนอน, แดน 5-9, แดนเกษตร, สถานพยาบาล, ร้านค้าสงเคราะห์ผู้ต้องขัง, ห้องเยี่ยมญาติ, ร้านค้าผลิตภัณฑ์และบ้านพักเจ้าพนักงาน เป็นต้นตะกร้าหวายที่เห็นอยู่นี้เป็นผลงานการฝึกวิชาชีพของนักโทษ มีรูปทรงต่าง ๆ แตกต่างกัน เช่น แบบทรงกลมมีฝาปิด, แบบทรงรี, แบบตะกร้ามีหูหิ้ว เป็นต้น เรียงกันเป็นแนวยาว นอกจากนั้นยังมีกระเป๋าสานหวายที่จัดแสดงในตู้กระจกค่ะโซนจัดแสดงเครื่องหมาย-เครื่องแบบข้าราชการราชทัณฑ์ในยุคต่าง ๆ เป็นการจำลองหุ่นที่สวมเครื่องแต่งกายของเจ้าพนักงานเรือนจำในอดีต ได้แก่ เครื่องแต่งกายผู้คุมของปี พ.ศ.2434 กับปี พ.ศ.2480 และเครื่องแต่งกายเจ้าพนักงานเรือนจำหรือทัณฑสถาน พ.ศ.2504 ซึ่งเครื่องแต่งกายของผู้คุมหรือเจ้าพนักงานเรือนจำในอดีตจะแตกต่างไปตามยุคสมัยค่ะโซนจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้สมัยโบราณ เป็นการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้โบราณที่ใช้งานได้จริงในสมัยนั้น ๆ ได้แก่ ไม้คทา, กล้องโบราณ, ปืนพกลูกโม่, สมุดรายวันรับราชการ, หมวกกะโล่, อาวุธผู้ต้องขัง, บัญชีผู้ต้องขังหลบหนี, อุปกรณ์การหลบหนี และอุปกรณ์การพนัน นอกจากนั้นยังมีหนังสือเรื่องที่เกี่ยวกับการราชทัณฑ์จัดแสดงอีกด้วย โดยจัดแสดงในตู้กระจกโซนภาพเรือนจำต่างจังหวัดในอดีตและจัดแสดงตรวนชนิดต่าง ๆ-อาวุธปืนโบราณ เป็นการจัดแสดงภาพถ่ายเรือนจำตามต่างจังหวัดในอดีต นอกจากนั้นยังมีตรวนชนิดต่าง ๆ และตัวอย่างปืนใหญ่กับอาวุธปืนโบราณจัดแสดงอีกด้วย เช่น ปืนคาบศิลา, ปืนเล็กยาว, ปืนพกลูกโม่, ปืนกลมือ M3 และปืนกลมือ MAB 38 เป็นต้น และสุดท้ายโซนโครงการในพระราชดำริฯ ยุคปัจจุบัน เป็นโซนจัดแสดงบอร์ดความรู้เรื่องโครงการในพระราชดำริฯ ต่าง ๆ มากมายที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้ต้องขังในเรือนจำ เพื่อให้ผู้ต้องขังมีความหวัง-กำลังใจ, การฝึกวิชาชีพ รวมถึงการได้รับโอกาสจากสังคมไทยในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ภายหลังพ้นโทษ เช่น โครงการราชทัณฑ์ปันสุข ทำความดีเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์, โครงการโคก หนอง นา แห่งน้ำใจและความหวัง กรมราชทัณฑ์, โครงการห้องสมุดพร้อมปัญญา, โครงการกำลังใจ เป็นต้นหลังจากชมนิทรรศการชั้น 2 เสร็จแล้วก็เดินลงบันไดมาที่ชั้น 1 เพื่อไปยังอาคารที่ 3 แต่ก่อนจะเปิดประตูออกไปก็เห็นซอกมุมเล็ก ๆ จัดแสดงป้ายความรู้เกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ของกรมราชทัณฑ์ เช่น เรือนจำ เรือนกีฬา, จังหวะชีวิต, ขาดอิสรภาพในเรือนจำ แต่ไม่ขาดอิสรภาพทางการศึกษา, เรือนจำ เรือนธรรม และประติมากรรม สร้างงาน สร้างจิตใจ เป็นต้นระหว่างทางไปยังอาคารที่ 3 ก็จะมีมุม ‘ราชทัณฑ์แก้ไข คนไทยให้โอกาส’ สำหรับเขียนให้กำลังใจผู้ต้องขังหรือนักโทษในเรือนจำบนกระดาษโพสท์อิทแปะไว้บนกระดานที่ติดไว้บนผนังค่ะเดินมาถึง ‘อาคารหับเผย’ ที่เป็นอาคารที่ 3 เราก็เดินเข้าไปในร้าน ‘หับเผย’ ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายสินค้า/ผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ ด้วยฝีมือของผู้ต้องขังจากการฝึกวิชาชีพตามราชทัณฑ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศที่มีให้เลือกมากมาย เช่น กระเป๋า, หมวก, ย่าม, ผ้าพันคอ, รองเท้าปัก, ตะกร้า, งานไม้, งานจักสาน, ดอกไม้ประดิษฐ์ และผลงานอื่น ๆ ที่สวยงามในราคาย่อมเยา โดย 70% ของรายได้จากการขายสินค้าจะเป็นของผู้ต้องขังทั้งหมดค่ะหลังจากชมนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์และเลือกชม เลือกซื้อสินค้า/ผลิตภัณฑ์ราชทัณฑ์ภายในร้าน ‘หับเผย’ แล้วก็รู้สึกหิวจึงเดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 ที่เป็นร้าน ‘หับเผย คาเฟ่’ ซึ่งจำหน่ายทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และเบเกอรี่ในราคาไม่แพง พร้อมทั้งชมการแสดงดนตรีจากผู้ต้องขังก่อนเดินทางกลับค่ะ สำหรับใครที่สนใจเรียนรู้วิถีชีวิตผู้ต้องขังในเรือนจำ สามารถแวะเข้ามาเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ จังหวัดนนทบุรีกันได้นะคะ เพราะนอกจากจะได้รับทั้งความรู้ความเพลิดเพลินแล้วยังเปลี่ยนมุมมอง ความคิด ความรู้สึกที่มีต่อผู้ต้องขังในเรือนจำอีกด้วยว่าเรือนจำไม่ใช่สถานที่คุมขังเพื่อลงโทษเพียงเท่านั้น หากเป็นพื้นที่แก้ไขและสร้างโอกาสให้เพื่อนมนุษย์ในการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังพ้นโทษ เพื่อคืนคนดีกลับสู่สังคมนั่นเองค่ะ ปักหมุดได้ที่: พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์ 77/1 อาคารสถาบันพัฒนาข้าราชการราชทัณฑ์ ถนนนนทบุรี 1 ตำบลสวนใหญ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี 11000GPS: https://maps.app.goo.gl/2tM6xVHPxejjX7DH8Email: correctionsmuseum@gmail.com โทร: 02-526-9014, 065-291-0518เสียค่าเข้าชม: ไม่เสียค่าเข้าชมเปิด: ทุกวันอังคาร - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น. ปิดทำการทุกวันจันทร์เดินทางโดยเรือด่วนเจ้าพระยา: ธงแดง ราคา 30 บาทตลอดสาย, ธงเขียวเหลือง ราคา 14 บาท (ปากเกร็ด-นนทบุรี) / ราคา 21 บาท (นนทบุรี-สาทร) / ราคา 33 บาท (ปากเกร็ด-สาทร), ธงเหลือง ราคา 21 บาทตลอดสาย และธงส้ม ราคา 16 บาทตลอดสายออกแบบหน้าปกใน Canva โดย: Windy_55 (ผู้เขียน)เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน) อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !