สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังมองหาทริปท่องเที่ยวต่างประเทศในงบประหยัด แต่ได้ฟีลลิ่งการได้นั่งเครื่องบิน และผ่านตม.อีกครั้ง หลังจากพักการเดินทางไปต่างประเทศกันมาอย่างยาวนาน นาทีนี้เราแนะนำที่นี่เลยค่ะ หลวงพระบาง เมืองมรดกโลก ประเทศลาวเพื่อนบ้านเรานี่เอง ทุกคนจะได้ฟีลลิ่งการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศแต่ค่าใช้จ่ายคือเหมือนเที่ยวต่างจังหวะค่ะทริปนี้เราเดินทางไปท่องเที่ยวหลวงพระบาง 3 วัน 2 คืน โดยเป็นเส้นทางการเดินทางจากสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ราคาประมาณ 2,160 บาท (เที่ยวไปเที่ยวเดียว) บินตรงไปลงที่หลวงพระบางใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เท่านั้นเอง ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ เราประทับใจกับวิวภูเขาที่อลังการล้านแปดก่อนถึงสนามบินหลวงพระบางมาก ๆ ค่ะ วิวเขาวิวใจคืือดีงามมากเราเดินทางไปเที่ยววันที่ 23 - 26 กรกฎาคม 2565 ซึ่งเที่ยวบินไปลงหลวงพระบางจะมีแค่ 1 เที่ยวต่อวัน เป็นเที่ยวบินตอนบ่ายสองไปถึงหลวงพระบางประมาณช่วงเกือบบ่ายสี่โมง ทำให้วันแรกของการเดินทางเราอาจจะยังไม่ได้เที่ยวมากนักเมื่อถึงสนามบินการผ่านตม.ก็ง่าย ๆ สบาย ๆ โชว์พาสปอร์ตพร้อมหลักฐานการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ตม.ถ่ายรูปและประทับตราในพาสปอร์ตเป็นอันเรียบร้อยจากนั้นเราก็มาแลกเงินที่ร้านแลกเงินตรงทางออกสนามบินได้เลย ตอนที่เราไปมีร้านแลกเงินแค่ 1 ร้านถ้วนค่ะ อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 460 บาท = 1 กีบ แลกสัก 3,000 บาท ก็มีเงินเป็นล้านกีบแล้วค่ะทุกคนส่วนร้านขายซิมและจุดบริการรถแท็กซี่สำหรับเข้าตัวเมืองก็อยู่บริเวณเดียวกันค่ะ ราคาซิมประมาณ 150 บาท ได้เน็ต 6 GB ใช้งานได้ 3 - 4 วัน ราคาแท็กซี่เข้าเมืองแบบเหมาสำหรับ 3 คน ราคาประมาณ 100,000 กีบ ซึ่งรถที่ให้บริการเป็นมินิแวนคันเล็ก ๆ น่ารัก ๆ ตามสไตล์รถตู้ลาวค่ะที่พักของเราชื่อว่า Villa Phathana Boutique Hotel เป็นที่พักแบบเรือนไม้ได้กลิ่นอายความเป็นเมืองมรดกโลกดีค่ะ เราบ้านห้องแบบ 3 คน เลยได้อยู่เรือนไม้ที่แยกออกมา 1 หลัง ราคาคนละ 624 บาท สำหรับ 2 คืน รวมอาหารเช้าแล้วค่ะ โดยจองผ่าน Agoda พิกัด Villa Phathana Boutique Hotel ที่พักอยู่ต้นซอยข้างกับสถานที่ท่องเที่ยวคือ หอพระบาง และตรงข้ามกับหอพระบางจะเป็นทางขึ้นพระธาตุพูสีค่ะ เดินนิดเดียวจากที่พักก็จะถึงสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 2 แห่งนี้แล้วค่ะพิกัดหอพระบาง ส่วนตอนกลางคืนสามารถเดินออกมาเที่ยวตลาดมืดได้ค่ะ อยู่หน้าปากซอยที่พักเลย เดินเที่ยวช้อปปิ้งเสื้อผ้า ของกินไปได้จนถึงอีกฝั่งของตลาดเลยค่ะพิกัดตลาดมืดแนะนำ 2 อย่างที่ตลาดมืด อร่อยและถูกคือ วาฟเฟิลมะพร้าว ราคา 5,000 กีบ ประมาณ 10 บาท และร้านนี้เลยเด็ดมาก น้ำปั่นแก้วยีราฟ ในราคา 15,000 กีบ ประมาณ 30 บาทแก้วนี้คือได้ทั้ง โกโก้ปั่น + วิปครีม + ไข่มุก ไซส์แก้วยีราฟสุดปังมากค่ะแนะนำร้านอาหารฮาลาลที่หลวงพระบาง อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงค่ะ มีทั้งเมนูอาหารตามสั่งทั่วไป และอาหารอินเดียค่ะพิกัด Chennai Restaurant จบวันแรกของการเดินทางด้วยการเดินช้อปปิ้งซื้อขนมกินที่ตลาดมืด สำหรับวันที่สองของการเดินทาง เราเหมารถแท็กซี่ให้พาไปเที่ยวที่ตาดกวางสีค่ะ โดยในเส้นทางเดียวกันถ้าเราต้องการแวะเที่ยวที่ไหนเพิ่มสามารถแจ้งคนขับได้เลยค่ะ ราคาเหมาอยู่ที่ 400,000 กีบค่ะเส้นทางการเดินทางไปตาดกวางสี หรือน้ำตกกวางสีหนึ่งในไฮไลท์ของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหลวงพระบาง พิกัดตาดกวางสีจากตัวเมืองหลวงพระบางถึงน้ำตกระยะทางค่อนข้างไกลและเป็นถนนแคบ ๆ ที่มีเส้นทางคดเคี้ยวไปตามภูเขา ซึ่งทำให้เราได้เห็นวิวสวย ๆ ระหว่างทางเยอะเลยเมื่อเดินทางมาถึงจุดซื้อตั๋วเพื่อเข้าชมตาดกวางสี ค่าตั๋วราคา 20,000 กีบ หลังจากที่ซื้อตั๋วเรียบร้อย เราต้องนั่งรถกอล์ฟขึ้นไปที่ทางเข้าน้ำตกอีกทีค่ะระหว่างทางเดินเข้าไปที่น้ำตก เราจะผ่านบริเวณที่เป็นส่วนที่เขาเลี้ยงน้องหมีควายไว้ ถ้าน้องไม่ไปนอนหลับหรือซ่อนตัวอยู่ เราก็จะได้เห็นน้องแบบนี้ค่ะบรรยากาศของตาดกวางสีสวยงามสมกับเป็นน้ำตกหินปูน น้ำเลยมีสีเขียวพาสเทลแบบนี้ค่ะเราเดินไปตามทางเรื่อย ๆ ก็จะพบกับจุดไฮไลท์ของน้ำตก ถ้าอยากถ่ายรูปสวย ๆ แบบแสงแดดไม่แรงเกินไป แนะนำให้มาช่วงเช้า หรือช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ หน่อยค่ะ เพราะตอนเราไปถึงน่าจะประมาณช่วงเที่ยงแดดแรงแสงค่อนข้างจ้ามาก ถ่ายรูปอาจจะไม่ค่อยสวยเท่ากับที่ตาเห็นจริงหลังจากเที่ยวชมตาดกวางสีแล้ว คนขับก็พาเราไปทานอาหารกลางวันที่ร้านริมน้ำตกแบบนี้ บรรยากาศดีทีเดียว แต่คนค่อนข้างเยอะ เพราะคณะทัวร์ส่วนใหญ่มาทานอาหารกันที่นี่เราเลยอยากแนะนำว่าถ้าไม่ชอบความวุ่นวายหรือไม่อยากรออาหารนาน สามารถทานอาหารร้านก่อนทางเข้าน้ำตกได้ค่ะ และที่น้ำตกอนุญาตให้นำของกินเข้าไปได้นะคะ แต่ยังไงก็ช่วยกันรักษาความสะอาดกันด้วยเนอะเรากับเพื่อน ๆ ตัดสินใจเดินทางกลับเข้าตัวเมืองหลวงพระบางเลย แต่มีแวะชิมไอศกรีมนมควายระหว่างทางด้วยนิดนึงพิกัด Buffalo Ice Cream เราสั่งเป็นรสคาราเมล ราคาสกู๊ปละ 30,000 กีบ ประมาณ 63 บาท ราคาอาจจะดูแรง แต่รสชาติคือดี อร่อย ไม่คาว ทานแล้วก็สดชื่นหวานฉ่ำดีค่ะกลับมาถึงที่พัก ก็ขอพักผ่อนหลบแดดกันสักเล็กน้อย เพราะช่วงเดือนกรกฎาคมที่เราเดินทางไปเที่ยวนั้น แสงแดดไม่อ่่อนโยนกับเราเอาซะเลย อากาศคือร้อนแบบตะโกนไปเลยค่ะหลังจากพักผ่อนให้หายเพลียแดดแล้ว เราก็ไปเที่ยวที่พระธาตุพูสีต่อ โดยต้องเดินขึ้นบรรไดไปที่ยอดเขา ซึ่งเราจะสามารถเห็นบรรยากาศเมืองหลวงพระบางได้แบบ 360 องศา และที่นี่ยังเป็นจุดชมวิวดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าอีกด้วยนะ ราคาค่าตั๋วขึ้นชมพระธาตุพูสี 20,000 กีบพิกัดพระธาตุพูสี วันที่สามของการเดินทางครั้งนี้ เราเดินแต่เช้าเพื่อออกไปชมบรรยากาศวัฒนธรรมของเมืองหลวงพระบาง ที่จะมีพระเดินบิณฑบาตรอบตัวเมืองเก่าหลวงพระบางเพื่อให้ชาวบ้านได้ทำบุญตักบาตรข้าวเหนียวและไปเดินเที่ยวเล่นชมบรรยากาศตลาดเช้าเมืองหลวงพระบางที่คึกคักทีเดียวค่ะ มีทั้งของสดของแห้ง ผักผลไม้ ขายกันอย่างครึกครื้นพิกัดตลาดเช้า จากนั้นก็กลับมาพักผ่อนที่ที่พักก่อนที่จะเช็คเอาท์อละออกไปเที่ยวกันอีกครั้งค่ะ ที่พักให้เช็คเอาท์ตอน 11 โมง แต่เราก็ต่อรองเป็นเที่ยง หลังที่เช็คเอาท์แล้วก็ฝากกระเป๋าไว้ที่ที่พักและกิจกรรมแรกของวันนี้ในช่วงบ่ายก็คือ การนวดลาวที่หลวงพระบาง ตอนแรกเราคิดว่าจะนวดเท้า หรือนวดคอบ่าไหล่ดี ไป ๆ มา ๆ ถามราคานวดทั้งตัวแค่ 70,000 กีบ ประมาณ 152 บาท / ชั่วโมงเท่านั้นเอง ก็จัดไปเลยสิคะจะรออะไร หลังจากนวดเสร็จก็มีให้ทิปคนนวดไปนิดหน่อย 20,000 กีบพิกัด Khmu Spa & Massage หลังจากนวดกันสบายตัวแล้ว เราก็ไปเช่าจักรยานขี่เที่ยวในตัวเมืองกันค่ะ ค่าเช่าจักรยานราคา 20,000 กีบ ประมาณ 42 บาท ตอนเช่าเจ้าของร้านจะขอบัตรประชาชนหรือพาสปอร์ตเก็บไว้ค่ะ แนะนำให้บัตรประชาดีกว่าค่ะ เพื่อความปลอดภัยของพาสปอร์ตปั่นจักรยานไปตากแอร์และพักดื่มอะไรเย็น ๆ ที่ Amazon พิกัด Cafè Amazon Phetsamai LPBจากนั้นก็ปั่นจักรยานต่อไปเที่ยวที่อีกหนึ่งแลนมาร์คของหลวงพระบางคือ วัดเชียงทอง มีค่าเข้าชม 20,000 กีบ และหน้าทางเข้าจะมีที่ฝากจักรยานเก็บค่าฝากคันละ 2,000 กีบค่ะพิกัดวัดเชียงทองมาเยี่ยมชมวัดเชียงทอง มาดูสถาปัตยกรรมของหลวงพระบางค่ะมีหนึ่งเรื่องที่อยากแนะนำทุกคน ถ้าจะปั่นจักรยานแถว แนะนำว่าปั่นตอนเช้าหรือเย็นเถอะค่ะ เพราะเรานี่ปั่นตอนเที่ยงตอนบ่ายก็ไม่ไหว เพลียร่างมาก สุดท้ายก็เลยต้องไปพักตากแอร์อีกครั้งที่ร้าน Joma Bakery Cafe หนึ่งในคาเฟ่ที่ถ้ามาหลวงพระบางก็ไม่ควรพลาดค่ะพิกัด Joma Bakery Cafeจากนั้นก็นำจักรยานไปคืน กลับไปที่ที่พักเตรียมตัวเดินทางไปสถานีรถไฟความเร็วสูงหลวงพระบางกันค่ะ เพราะทริปนี้เราไม่ได้บินกลับ แต่จะนั่งรถไฟความเร็วสูงไปเวียงจันทน์ แล้วค่อยนั่งรถบัสเวียงจันทน์ - อุดรอุดรธานีกลับประเทศไทยกันค่ะ สำหรับรถที่เราใช้เดินทางไปยังสถานีรถไฟเป็นแบบรถตู้รับส่งที่ join กับนักท่องเที่ยวท่านอื่น จองโดยแจ้งผ่านทาง reception ของที่พักค่ะ ราคาค่าโดยสารคนละ 35,000 กีบ ประมาณ 73 บาทส่วนค่าตั๋วรถไฟความเร็วสูงเราตั้งใจว่าจะมาจองเองที่หลวงพระบาง ตรงบริเวณวงเวียนน้ำพุจะมีจุดบริการจองตั๋วรถไฟอยู่ แต่เนื่องจากคนรอซื้อตั๋วกันเยอะมาก คนขับรถที่เราเหมารถให้พาไปเที่ยวตาดกวางสีเลยแนะนำให้จองผ่านเอเจนซี่ โดยบวกค่าจองอยู่ที่ใบละ 40,000 กีบ ประมาณ 84 บาท และราคาตั๋วรถไฟความเร็วสูงที่นั่งชั้น 2 ราคา 242,000 กีบ ประมาณ 526 บาทซึ่งจากประสบการณ์เราแนะนำให้ทุกคนจองไปล่วงหน้าผ่านเอเจนซี่ก็ดีนะคะทุกคน เพราะตั๋วรถไฟความเร็วสูงเปิดให้จองล่วงหน้า 3 วันก่อนวันเดินทาง และตั๋วเต็มค่อนข้างไว ถ้าใครสนใจเดินทางแบบเราควรจองล่วงหน้าค่ะ เพราะส่วนใหญ่คนจะจองไปกลับเวียงจันทน์ - หลวงพระบางทำให้ตั๋วรถไฟจะเต็มเร็วมาก ๆ ค่ะ ยิ่งเป็นช่วงสุดสัปดาห์หรือต้นสัปดาห์ คนใช้บริการค่อนข้างเยอะค่ะพิกัดสถานีรถไฟความเร็วสูงหลวงพระบางบรรยากาศสถานีรถไฟความเร็วสูงหลวงพระบางเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงจากหลวงพระบางถึงเวียงจันทน์ วิวทิวเขาริมภาพสวยงามมาก ๆ ค่ะ แต่มีหลายจุดที่เราถ่ายภาพไม่ทัน เพราะรถไฟวิ่งด้วยความเร็วและเข้าอุโมงค์เป็นส่วนใหญ่เราเดินทางด้วยรถไฟรอบ 18.10 น. มาถึงสถานีเวียงจันทน์เป็นเวลาเกือบสองทุ่ม รถบัสรับส่งเข้าตัวเมืองหมดแล้ว เลยต้องใช้บริการแท็กซี่ในการเดินทางไปที่โรงแรมในตัวเมืองเวียงจันทน์ค่ะ ราคาอยู่ที่ 200,000 กีบ ประมาณ 435 บาท เราหารกับเพื่อน 3 คน เท่ากับจ่ายคนละประมาณ 145 บาทค่ะคืนนี้เราพักกับที่ Family Boutique Hotel พักห้องแบบ 3 คน ห้องกว้าง แอร์เย็น เตียงนุ่มสบายดีค่ะ ราคาคนละประมาณ 340 บาท / คืน รวมอาหารเช้าแล้วค่ะพิกัด Family Boutique Hotelเช้าวันที่สี่ของการเดินทาง หลังจากที่เราทานอาหารเช้ากันเสร็จก็รีบอาบน้ำแต่งตัว เช็คเอาท์และเดินไปที่ตลาดเช้ากันค่ะ จากที่พักสามารถเดินไปที่ตลาดเช้าได้ใช้เวลาประมาณ 10 - 15 นาทีค่ะ พิกัดตลาดเช้าและสถานีรถบัส เวียงจันทน์สถานีรถบัสและจุดบริการจำหน่ายตั๋วโดยสารอยู่ใกล้บริเวณตลาดเช้าค่ะ เราซื้อตั๋วรถบัสเวียงจันทน์ - อุดรธานีรอบ 11.00 น. ราคาค่าโดยสาร 80 บาทรถบัสที่เรานั่งจะจอดให้เราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง 2 ด่าน คือด่านฝั่งลาว และด่านฝั่งไทย ตรวจประทับตรากับตม.ฝั่งลาวเดินทางข้ามสะพานมิตรภาพไทย - ลาวด่านฝั่งไทยเราจะต้องผ่านการตรวจ 2 ขั้นตอน คือ ตรวจการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มกับเจ้าหร้าที่กรมควบคุมโรค จากนั้นก็ไปผ่านตม.เพื่อประทับตราในพาสปอร์ตก็เป็นอันเรียบร้อย เดินทางกลับสู่ประเทศไทยได้ค่ะสำหรับทริปนี้เราเดินทางกลับจากอุดรธานีถึงกรุงเทพฯ ด้วยบริการของสายการบินแอร์เอเชียอีกเช่นเคย ราคาค่าตั๋ว 958 บาท เที่ยวบิน 19.20 น. เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองเกือบสามทุ่ม และทั้งหมดนี่ก็คือการเดินทางตลอด 4 วัน 3 คืน ของเราในทริปหลวงพระบางค่ะ ค่าใช้จ่ายรวมทั้งทริปอยู่ที่ประมาณ 6,500 บาท ซึ่งในงบประมาณนี้ เรารวมทุกอย่างแล้วนะคะ ค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยวและค่าอาหาร สำหรับเราในงบนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการเดินทางท่องเที่ยวที่คุ้มค่ามาก ๆ ค่ะ ได้สัมผัสบรรยากาศการเดินหลากหลายรูปแบบ ได้ชมธรรมชาติที่สวยงามและได้เห็นวัฒนธรรมวิถีชีวิตของผู้คนในเมืองมรดกโลกอย่างหลวงพระบาง เป็นอีกหนึ่งเส้นทางการเดินทางท่องเที่ยวที่อยากแนะนำเพื่อน ๆ ทุกคนว่าไม่ควรพลาดนะคะภาพประกอบโดยนักเขียน : WanWander วันลาเหลือใช่ไหม อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !