ในวันหยุดที่แสนเหงา เราออกไปหาที่เที่ยวกันดีกว่า ด้วยเวลาอันน้อยนิด 1 วันหยุด เท่านั้น เราเลือกไปเดินเล่นย่านเก่าแก่ในเมืองกรุง แถวถนนเจริญกรุง “ย่านตลาดน้อย” เป็นย่านชุมชนคนจีนที่อพยพและมาตั้งที่อยู่อาศัยตั้งแต่สมัยต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ ทำการค้าขายกันจนกลายเป็นย่านการค้าเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นต้นมา มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนาแบบเดียวกับทางชุมชนกุฎีจีนเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นเขตที่ติดต่อกันมา โดยเริ่มเป็นชุมชนที่หนาแน่นมากขึ้นภายหลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกและผู้คนก็อพยพกันมา เราเดินทางที่ บีทีเอส สยาม เพื่อไปลงที่ บีทีเอสสะพานตากสิน เราเริ่มทริปด้วยการไปไหว้พระที่ “วัดสวนพลู” ซึ่งคำว่า “สวนพลู” สันนิษฐานว่ามาจากพื้นที่บริเวณรอบ ๆ วัด ในอดีตชาวจีนปลูกพลูกันเป็นอาชีพ เนื่องจากคนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนิยมกินหมากพลูกัน จึงเรียกเป็นชื่อวัดสวนพลู และวัดสวนพลูนี้ก็มีความโดดเด่นในเรื่องของกุฏิทรง “ขนมปังขิง” จากข้อมูลได้รับรางวัลอนุรักษ์ดีเด่น มรดกสถาปัตยกรรมในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2545 อีกด้วย ภายในบริเวณวัดสงบมาก และสถาปัตยกรรมก็สวยงาม หลังจากไหว้พระทำบุญแล้ว จากนั้นเราก็เริ่มเดินเท้าไปเรื่อย ๆ โดยแวะเติมพลังที่ “ทิพย์ หอยทอดภูเขาไฟ” ร้านเด็ดย่านเจริญกรุง หอยทอดอร่อยมาก สดและสะอาด ราคาเริ่มต้นที่ 60 บาท เมื่ออิ่มท้องแล้ว เราก็พากันเดินไปตามถนนเจริญกรุงเรื่อย ๆ โดยใช้ GPS เป็นตัวนำทาง เป้าหมายคือ “โบสถ์กาลหว่าร์” ซึ่งระหว่างการเดินทาง ก็พบความสวยงามของบ้านเรือนแถบนี้ คือยังรูปแบบดั้งเดิม แม้จะผ่านกาลเวลามานานแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสวยงาม และบูรณะดูแลกันอย่างดี ทำให้รู้สึกเหมือนได้กลับไปเดินเล่นอยู่ในยุคสมัยนั้นเลยนะ ถึงแล้ว “โบสถ์กาลหว่าร์” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดแม่พระลูกประคำ” เราเดินเข้าทางโรงเรียนกุหลาบวิทยา ซึ่งโบสถ์ก็ตั้งอยู่ในเขตเดียวกัน โบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์หลังที่ 3 แล้ว ที่สร้างขึ้นทดแทนหลังก่อนหน้าที่เกิดเพลิงไหม้และถูกทิ้งให้ร้างเมื่อปีพ.ศ. 2407 ถ้ารวม ๆ อายุแล้ว โบสถ์กาลหว่าร์แห่งนี้ก็อายุประมาณ 128 ปี ถือเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยความสงสัยของเราว่า “กาลหว่าร์” แปลว่าอะไร เป็นคำภาษาใด จึงได้ไปศึกษาข้อมูลมา คำตอบคือ “กาลหว่าร์” มาจากคำว่า “กัลวารีโอ” ภาษาละติน ที่หมายถึงเนินเขาที่เป็นสถานที่ทำการตรึงพระเยซูนั่นเอง จากโบสถ์กาลหว่าร์เราเดินลัดเลาะตามซอยวาณิชมาเรื่อย ๆ ไปเจอกับ “ศาลเจ้าโรงเกือก” หรือศาลเจ้าพ่อฮ้อนหว่องกุงนอกจากได้สักการะบูชาเทพเจ้าแล้ว ยังมีมุมให้เราถ่ายรูปกันด้วย บรรยากาศก็ดีเพราะติดแม่น้ำเจ้าพระยาเลย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เดินจากศาลเจ้าโรงเกือกมา เราแวะไปที่ “บ้านโซวเฮ่งไถ่” เป็นสถาปัตยกรรมแบบจีนอีกแห่งหนึ่ง สร้างโดยต้นตระกูลโปษยะจินดา (เจ้าสัวโซว) ตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เราแวะเข้าไปถ่ายแวบเดียวจริง ๆ เพราะมีจุดอื่นที่ไปต่อ ด้านในมีของสะสม ภาพเก่าที่ยังอนุรักษ์ไว้มากมายเลย จุดสุดท้ายที่จะไปก็คือ “รถเต่า ตลาดน้อย” รถเต่าคันเก่าที่จอดอยู่ข้างกำแพง ให้ผู้คนที่ผ่านไปมาได้แวะทำความรู้จัก และถ่ายรูปร่วมกันไว้เป็นที่ระลึก ภาพที่ได้บอกเลยว่า สวยงามและให้บรรยากาศยุคสมัยนั้นจริง ๆ สำหรับใครที่มีวันว่าง Knight- errant ขอแนะนำโซนเจริญกรุง-ตลาดน้อยเลย ทั้งของกิน จุดถ่ายรูปพวก street art และสถานที่เที่ยวมากมาย วันเดียวก็เที่ยวได้แต่เที่ยวไม่หมดจริง ๆ ต้องมีรอบสองแน่นอน ภาพถ่ายทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน ติดตามการเดินทางเพิ่มเติมได้ที่ TimesTravel เธอ ฉัน เรา เที่ยว