อมก๋อย เป็นอำเภอหนึ่งที่อยู่ปลายใต้สุดของจังหวัดเชียงใหม่ นอกจากผู้ที่รักและดื่มด่ำในธรรมชาติอันสวยงามที่ยังไม่ถูกรบกวนมากมายจากผู้คนภายนอกแล้วนั้น น้อยคนนักที่จะเดินทางล่วงผ่านเข้ามาเยี่ยมเยือน ส่วนตัวสำหรับผมนั้น แม้จะเป็นคนที่รักป่าเขาลำเนาไพร เดินทางมารอบเชียงใหม่ไป 24 อำเภอมาหลายครั้ง แต่ทว่า ณ อำเภออมก๋อยนี้ นี่เป็นการเดินทางครั้งแรก อำเภอลำดับที่ 25 อันดับสุดท้ายในการเดินทางท่องเที่ยว ณ เชียงใหม่ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ แรกเริ่มผมตั้งใจจะเดินทางเพื่อไปชมความงามของดอยม่อนจอง เทือกดอยเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวสวยงาม ด้วยช่วงเวลานี้เป็นกลางเดือนมีนาคม ที่อยู่ในช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว บรรยากาศน่าจะไม่วุ่นวายมากมายไปด้วยนักท่องเที่ยวเท่าใดนัก แต่ด้วยระยะเวลาเดินทางที่จำกัดได้แค่ในช่วงวันหยุดเสาร์และอาทิตย์จึงเลือกที่จะตระเวนเที่ยวในตัวอำเภอและบริเวณใกล้เคียง ผมเดินทางออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยรถยนต์ส่วนตัวแต่ก็สายหน่อยประมาณ 10 โมงเช้า ด้วยการเดินทางไปยังอำเภออมก๋อยนั้นเดินทางได้ไม่ยากนักโดยใช้เส้นทาง 108 สายเชียงใหม่-แม่สะเรียง มุ่งหน้าลงใต้ไปทางอำเภอจอมทอง ผ่านอำเภอฮอด ซึ่งขับรถมาเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน เดินทางลัดเลาะไปตามล้ำน้ำแม่แจ่ม ผ่านป่าเขามาเรื่อย ๆ จากนั้นแวะหาอะไรรับประทานรองท้องเสียหน่อยเมื่อถึงสวนสนบ่อแก้วก่อนออกเดินทางต่อ เมื่อเลยสวนสนบ่อแก้วไปไม่ไกลนัก ก็จะถึงทางแยกซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 1099 ผ่านธรรมชาติป่าสนและทิวทัศน์สวยงามตลอดเส้นทางอีกประมาณ 60 กิโลเมตร การเดินทางไปช่วงเวลานี้ ถ้าไม่มีไฟป่าก่อหมอกควัน ถนนเส้นนี้นับว่าเป็นถนนเส้นหนึ่งในเชียงใหม่ที่มีความสวยงามมากเลยทีเดียว ด้วยถนนทอดยาวไปตามสันเขา บางช่วงเหมือนถนนลอยฟ้าเลยทีเดียว ทัศนียภาพของป่าสนสองข้างทางและป่าดอยสลับซับซ้อน และเมื่อเข้าใกล้ตัวอำเภอ จะพบกับต้นกัลปพฤกษ์ที่ชูช่อออกดอกบานสะพรั่งรับฤดูร้อนเต็มต้นอยู่สองข้างถนนดูสวยงามยิ่งนัก ประมาณบ่าย 3 โมงเย็น ก็เข้าสู่เขตตัวอำเภอ ผมเลือกที่จะแวะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ วัดพระธาตุดอยแก้วเสียก่อน ซึ่งรถยนต์สามารถขึ้นไปจอดด้านบนวัดได้ ซึ่งขณะขึ้นควรบีบแตรส่งสัญญาณให้ด้านบนรับรู้ไม่ให้ปล่อยตัวรถลงมาเนื่องจากทางค่อนข้างแคบและค่อนข้างชันพอสมควร เมื่อถึงด้านบนดอยบริเวณวัดก็พบกับการจัดซุ้มดอกไม้สวยงามเป็นอย่างมาก ชื่นชมซุ่มดอกไม้ และดอกเอื้องดอยสีเหลืองสวย ๆ แล้ว ไม่รอช้าขึ้นไปนมัสการพระธาตุต่อบนยอดดอย ซึ่งทางขึ้นมีปูนปั้นเป็นรูปพญานาค 2 ตนขนาบข้างบันไดทางขึ้นดูสง่างามน่าเกรงขาม ระยะทางเดินขึ้นบันไดถือว่าไม่ยากนักเพียงไม่กี่ขั้นก็ถึงบริเวณลานกว้างด้านบนพระธาตุ ซึ่ไม่รีรอที่จะกราบนมัสการและขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นใช้เวลาเดินชมชมทัศนียภาพความงามของทิวทัศน์บนยอดดอยสักพัก แม้จะมีหมอกควันบดบังไปบ้างแต่ก็ยังมองให้เห็นถึงความสวยงาม จากนั้น เข้าสู่ตัวอำเภอแวะพักเล่นน้ำให้คลายร้อนในยามบ่ายแก่ๆ เสียหน่อยก่อนเข้าที่พัก ณ ลำแม่ตื่น บริเวณสะพานคู่รักและสวนสาธารณะกลางเมืองอันเงียบสงบ เมื่อพักผ่อนเล่นน้ำให้ฉ่ำปอดคลายร้อนลงไปได้บ้าง ท้องก็เริ่มร้องเรียกหาอาหารเติมพลังงานเสียแล้ว ผมจึงแวะหาก๋วยเตี๋ยวสักชามรับประทานพออิ่มจึงแวะทานตรงร้านหน้าโรงเรียนสีแยกกลางเมือง เห็นเขียนป้ายราคาว่า 20 บาท จึงคิดในใจว่าคงไม่มากมายเท่าไหร่นัก แต่ทีไหนได้พอแม่ค้ามาเสิร์ฟที่โต๊ะเท่านั้น ต้องแอบร้องว้าว!! เบา ๆ ทั้งปริมาณและรสชาติ ราคา 40 บาท ในเมืองยังชิดซ้าย จัดแจงหาซื้ออาหารเข้าไปรับประทาน ณ ที่พัก โดยผมเลือกจองที่พักที่อมก๋อยภูวิวรีสอร์ท ราคาห้องธรรมดาคืนละ 500 บาท ถ้าเพิ่มแอร์ก็บวกเพิ่มอีก 100 เป็น 600 บาท ซึ่งไม่แพงมากนักเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับ ถือว่ายอดเยี่ยมเลยทีเดียว ซึ่งจากที่พักสามารถมองเห็นทัศนียภาพของตัวเมืองได้รอบด้าน มุมพระอาทิตย์ตกที่งามจับตา มองเห็นวัดพระธาตุดอยแก้วอยู่เบื้องหน้า แต่น่าเสียดายที่ปีนี้หมอกควันดูหนาตา ยามค่ำคืนที่แสงไฟไม่รบกวนในเมืองกลางป่าเขาแห่งนี้จึงไม่สามารถที่จะมองดวงดาวบนท้องฟ้าได้เต็มสายตาเลย แต่ทว่าในค่ำคืนนี้ยังมีสิ่งดี ๆ คือ อากาศก็ยังคงมีไอเย็นให้ได้นอนอุ่นใต้ผ้าห่มนวมให้หลับสบายตลอดคืน รุ่งเช้าวันอาทิตย์ก่อนเดินทางกลับผมขอแวะเก็บภาพบรรยากาศของสวนดอกกัลปพฤกษ์ ณ สวนสาธารณะริมน้ำแม่ตื่นสักหน่อย แหม่ ภาพบรรยากาศช่างงดงามเหมือนผมยืนอยู่ท่ามกลางดอกซากูระในประเทศญี่ปุ่นที่เบ่งบานส่งกลิ่นหอมอ่อน ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วคุ้งน้ำเลยทีเดียว จบทริปนี้ด้วยความประทับใจ แม้จะเป็นทริปสั้น ๆ ในช่วงเวลาที่จำกัด แต่ก็เป็นการได้เรียนรู้ศึกษาเส้นทางการมายังดินแดนแห่งนี้ และสัญญากับตนเองว่าหากมาเยือนครั้งหน้าขอเดินทางไปตามฝัน ณ ปลายทางแห่งฝันดอยม่อนจองให้จงได้