ญี่ปุ่นเป็นประเทศในฝันที่ใครหลายคนอยากไปเยือนสักครั้งในชีวิต เมื่อปีที่แล้วเพื่อนสาวคนหนึ่งได้ทักมาชวนไปเล่นๆแต่ทริปนี้ดันเกิดขึ้นจริงค่าได้ไง how to สำหรับใครที่นัดเพื่อนแล้วทริปล่มตลอดเหมือนเรากับเพื่อนแนะนำให้ชวนกันไปที่ไกลตั๋วเครื่องบินแพงๆรับรองไม่มีทางล่ม ญี่ปุ่นครั้งแรกก็เริ่มจากหารีวิวสถานที่เช็คอินได้เลยค่า รีวิวส่วนแนะนำเมืองหลวงอย่างเช่น โอซาก้า หรือโตเกียว เหมาะมือใหม่ไร้ประสบการณ์ต่างประเทศแต่ดันเอ๊ะญี่ปุ่นมีภูเขาอื่นที่ไม่ใช่ฟูจิด้วยเหรอด้วยความสงสัยเป็นเหตุให้เข้าไปเจอ kamikochi อุทานได้คำเดียวว่าเว่อร์มากนี่แหละญี่ปุ่นครั้งแรกของฉันต้องไปเจอเธอให้ได้ ใครไปญี่ปุ่นก็ต้องไปเช็ดอินที่ภูเขาซิกเนเจอร์อย่างภูเขาไฟฟูจิ แต่อีกเทือกเขาหนึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวมีกิจกรรมให้ทำเยอะทั้งเดินป่าที่ kamikochi นั่งกระเช้าชมวิวขึ้น คาเฟ่ เอาจริงแพลนทริป 5คืน 6วัน สำหรับญี่ปุ่นมันไม่พอ เข้าใจคำที่ว่าใครไปญี่ปุ่นต้องกลับไปอีกรอบแน่นอน ภาพวิวจากกล้องมือถือไร้แอพใดๆคือแกรรรร มันตรงปกเหมือนภาพพักหน้าจอ window เลยเป็นไปได้ไง ไม่ได้คาดหวังแต่ไม่ผิดหวังไปจากที่เคยเห็นในรีวิวอื่นๆเลยสักนิด เราไปช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นฤดูใบไม้ร่วงต้นไม้พากันแตะมือเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองบ้าง บางต้นก็ยังเขียวอยู่ อากาศที่อยู่ประมาณ 9 องศาหนาวมากสำหรับสาวเมืองร้อนอัตราการทนอากาศหนาวต่ำแบบเรา แต่ได้มาเจอวิวตรงปกwindow แบบนี้คุ้มสุดๆไปเลยค่า Kamikochi เป็นแหล่งท่องเที่ยวอยู่ในจังหวัด Nagano ทางตอนกลางของญี่ปุ่น เดินทางมาถึงได้โดยรถบัสหรือ JR จาก โตเกียว โอซาก้า หรือนาโกย่า จากรีวิวที่ได้ศึกษามาทำให้เราเลือกที่จะนั่งเครื่องมาลงที่นาโกย่าเพราะใช้เวลานั่งรถน้อยที่สุด เราเลือกซื้อ shoryudo bus pass ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกในการเดินทางในญี่ปุ่นสำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่ นอกจากจะง่ายแบบไม่ต้องจองใหม่หน้าเคาเตอร์แล้วยังช่วยเรื่องการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆในเส้นทางเดินของพาสอีกด้วย ความทุลักทุเลเริ่มต้นขึ้นทันทีเครื่องลงจอดพื้นดินญี่ปุ่น เมื่อพาสที่เราได้จองไว้รอบเต็มค่า จากจังหวัดนาโกย่านั่งบัสประมาณ 3ชั่วโมงเพื่อไปพักที่ takayma ปรากฏว่าบัสเต็มรอรอบต่อไปอีก 3 ชั่วโมง แพลนเที่ยวเมือง Takayama วันแรกของเราคงพังเป็นแน่ คิดได้อย่างงั้นจึงเลือกที่จะจ่ายเพิ่มนั่ง JR ไป Takayama แทน แต่ในความโชคร้ายก็ยังถือว่าได้รับประสบการณ์พิเศษเพิ่ม เพราะการนั่ง JR ไปต่างเมืองของญี่ปุ่นเป็นอะไรที่เข้าถึงฟีลญี่ปุ่นสุดๆ แสงแดด วิวภูเขา ลำธารน้ำใสสีฟ้า ต้นไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสี บ้านทรงญี่ปุ่น ถนนโล่งแต่สะอาด รถยนต์กะปุกะปิกทรงซิกเนเอจร์ของรถยนต์ญี่ปุ่น เหมือนทุกระยะทางที่รถไฟผ่านเขาได้คิดมาหมดแล้วว่าจะเห็นวิวสวยๆท้องฟ้า ก้อนเมฆองค์ประกอบดีๆอะไรบ้าง ระยะเวลาเดินทาง3ชมกับการนั่งรถบวกกับความเหนื่อยจากไฟล์บินกลางคืนวิวข้างทางมันพิเศษจนไม่สามารถหลับตาลงได้เลย เริ่มการเดินทาง one day trip จากเมือง takamaya ใครมาเที่ยว คามิโคจิแนะนำพักที่นี่เลยเพราะนอกจากจะมีรถบัสไปเที่ยว kamikochi สะดวกแล้วยังมีถนนซันมาจิย่านเมืองเก่าแหล่งช็อปปิ้งของฝากของเมืองอีกด้วย แถมพักเมืองนี้ยังสามารถไปเที่ยวแล่งท่องเที่ยวอื่นได้อีก อย่างเช่นshirakawago หมู่บ้านมรดกโลก shinhotaka ropeway กระเช้าลอยฟ้าชมวิวภูเขาสูงในช่วงฤดุใบไม้เปลี่ยนสีอีกด้วย แต่เป้าหมายทริปของเราในวันนี้ก็คือ kamikochi นั่งบัส(https://www.nouhibus.co.jp/route_bus/kamikochi-line-en/ )รอบแรกตอนเช้าประมาณ 6.00 น. ออกจากสถานีไปลงที่ hirayu onsen เพื่อต่อบัสไปที่ kamikochi อีกที ฟังดูการนั่งบัสอาจจะยากนะแต่ไม่เลยง่ายมากโดยเฉพาะการมีpass อยู่ในมือถือสามารถยื่นให้กับคนขับแล้วก้าวขาขึ้นรถได้เลย สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือตั๋วบัสคามิโคจิไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้าแต่คนที่อยากจะไปเที่ยวเยอะมากจนตอนแรกตอนต่อแถวแอบใจตุ่มๆต่อมๆว่าจะต้องรอรอบต่อไปอีกเป็นชั่วโมงแน่เลย แต่ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่นไม่ต้องจองแต่ได้ไปแน่ๆจ้า เขามีรถบัสสำรองต่อแถวรับคนในรอบๆนั้นให้ออกตรงเวลาด้วย แค่มีบัสสำรองให้เราได้ไปก็ใจดีมากแล้วยังออกตรงเวลาไปอีก ผ่านการนั่งบัสมาร่วมชั่วโมงก็มาถึงจุดแรกที่บัสจอดให้ลงคือ บึงไทโช เป็นจุดชมวิวแรกสำหรับการเริ่มต้นในคามิโคจิ อยู่ใกล้กับเขื่อนกั้นแม่น้ำอาซูสะ บรรยากาศเย็นๆเห็นบึงน้ำใสกว้างๆโอบล้อมด้วยภูเขาสูง น้ำใสจนผิวน้ำสะท้อนเงาเห็นภูเขาและป่าโดยรอบ เรามาในตอนเช้าที่แดดยังไม่ถึงพื้นได้วิวภูเขาสลับเงาสวยไปอีกแบบ อีกทั้งยังมีควันหมอกจางๆลอยเหนือผิวน้ำ ต่อให้วิวจะสวยสะกดเราสักแค่ไหนแต่ชีวิตเราต้องก้าวต่อไปค่ะ เพื่อไปเจอวิวนี่ยังไม่ใช่ไฮไลท์วิวก็สวยกินคนได้แล้วจุดอื่นมันจะสวยแค่ไหนเราต้องไปเดินไป เดินเข้าป่าด้วยอากาศที่หนาวเลขตัวเดียวเป็นอุปสรรคเดียวเพราะเส้นทางเดินไม่ได้ยากอย่างที่คิดแต่ก็ไม่ได้ใกล้เดินเหนื่อยเช่นกันสำหรับวัยรุ่นไม่เคยออกกำลังกายแบบเราก็เอาเรื่องอยู่ ระหว่างทางจะมีป้ายเตือนระวังหมี กิมมิกเล้กระฆังสั่นไล่หมี แต่เอาจริงบรรยากาศไม่ได้น่ากลัวที่จะต้องระวังสัตว์เลย เพราะเพื่อนร่วมทางเราเยอะมากหมีเองนั่นแหละที่ต้องกลัวเรา ฟีลอยากมาเที่ยวธรรมชาติหลีกหนีผู้คนเอาบรรยากาศสงบ ไม่เลยจ้าคนเยอะมากแต่ไม่ถึงกับแออัดอาจเป็นเพราะช่วงนี้อุทยานใกล้จะปิดและเป็น high season ฤดูใบไม้ร่วงต้นไม้หลากสีอากาศก็เย็นช่วยให้การเดินไม่เหนื่อยมากอีกด้วย ระหว่างทางจะมีจุดชมวิวให้ถ่ายรูปสังเกตได้จากการกระจุกตัวของคนเยอะๆซึ่งก็สวยจริงแต่เราที่ศึกษาเส้นทางมาน้อยไม่รู้ว่าจุดที่เขาหยุดกันชื่ออะไรได้แต่เดินตามคนข้างทางและประคองตัวเองไม่ให้ลื่นล้มไป เดินมาเรื่อย ๆจะเจอกับลำธารน้ำไหลสีฟ้าสดรายล้อมด้วยก้อนหิน ที่น่าตกใจคือต้นไม้จ้า ญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องระเบียบวินัยแต่ไม่คิดว่าจะเป็นมาถึงกับต้นไม้ เรียงตัวเท่ากันทุกช่องว่างความสูงไล่เรียงลำดับกันขนาดนี้ได้ยังไงนี่คือป่านะยังต้องจัดระเบียบให้ต้นไม้มันสวยกันด้วยเหรอไง อากาศเอย แสงแดดเอย ญี่ปุ่นธรรมชาติเขาดี คำที่บอกว่าแสงแดดญี่ปุ่นเขาโกงถ่ายมุมไหนก็คือสวยไม่เคยเชื่อวันนี้ได้มาเห็นกับตาสัมผัสกับลมสวยจะบ้าใช้เวลาเกือบร่วมชั่วโมงกว่าจะมาถึงจุดไฮไลท์อย่าง สะพานกัปปะ ไม่ใช่เดินทางไกลหรือลำบากอะไรใช้เวลาไปกับการถ่ายรูปวิวระหว่างทางเดิน จุดไฮไลท์ก็คือไฮไลท์ที่ต้องมาให้ถึงจริงๆภาพลำธารสายน้ำใสสีฟ้า ต้นไม้สองข้างทางที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบสีเหลืองทอง มีสะพานไม้ทีเต็มไปด้วยผู้คนถ่ายรูป ที่มากกว่านั้นคือภูเขาลูกใหญ่ๆเริ่มมีหิมะตกที่ปลายยอด วิวมันจึ้งมาก ปังมาก ใจฟูววววจะบ้า ไม้รู้จะหาคำบรรยายไหนได้เลย ทุกก้าวคุณสามารถถ่ายรูปออกมาได้สวยทุกจุด คุ้มค่ากับการข้ามน้ำข้ามทะเลเดินทะลุป่าสนต้นไม้มาเจอมากๆ ความฝันที่อยากไปเจอวิวสวยๆแบบหน้าจอ window ก็เป็นจริง หลายๆที่ท่องเที่ยวในกล้องออกมาดูดีแต่ความเป็นจริงอาจจะผิดหวังบ้าง แต่สำหรับที่นี่คือไม่เลยสำหรับเรามันคุ้มค่าที่อยากมาเจอจริงๆ ทำให้วันนี้เป็นวันที่ประทับใจไม่ทางลืมและอยากจะกลับมาเจออีกครั้ง มาเที่ยงครั้งแรกที่สัญญากับตัวเองว่าจะกลับมาอีกครั้ง เติมพลังหาเงินให้กลับมาเที่ยว เครดิตภาพโดย ภาพถ่ายโดยนักเขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !