ในที่สุดประเทศไทยก็เดินทางมาถึงช่วง ผ่อนคลายมาตรการระยะที่ 5 นำมาซึ่งสัญญาณที่ดี ว่าในที่สุดเราก็ได้ออกจากบ้านไปในที่ที่อยากไป หลายๆคนอาจจะอยากไปเที่ยวใจจะขาดแล้ว (ดิฉันคือ 1 ในนั้น) ประจวบเหมาะกับช่วงนี้โรงแรม 5 ดาวต่างๆ ได้จัดทำโปรโมชั่น ส่วนลด ราคาน่าดึงดูดให้เราต้องลองออกไปใช้บริการดูสักครั้ง ว่าการเข้าพักโรงแรม 5 ดาวเป็นอย่างไร เพื่อไม่ให้คุณผู้อ่านของเราบางท่านที่อาจจะรู้สึกเขินๆ หรือ ไม่มั่นใจในการเข้าพักโรงแรม 5 ดาวและ ช่วยให้คุณเข้าถึงการบริการอย่างเต็มที่ ให้คุ้มค่าทุกบาทที่คุณใช้จ่าย วันนี้ Eng in Hotel จึงมีความลับ 3 ข้อ มาเปิดให้คุณผู้อ่านดังต่อไปนี้ เงิน Deposit หรือ เงินค่ามัดจำ บางโรงแรม อาจไม่จำเป็นต้องวางมัดจำ กรณีนี้ก็สะดวกสำหรับลูกค้า แต่ถ้าโรงแรมขอมัดจำ สิ่งที่คุณควรทราบคือ 1.1 มูลค่าที่จะวางเงินมัดจำ นี่คือจุดสำคัญเลย คือ แต่ละโรงแรมจะมีนโยบายในการเรียกเก็บยอดมัดจำไม่เท่ากัน บางแห่งจะเรียกเก็บเฉพาะค่ากุญแจ (แต่ไม่ค่อยเห็น 5 ดาวทำกัน) บางแห่งขอเรียกเฉพาะ ค่าใช้จ่าย Incidential Charges หรือภาษาไทยเรียกว่า ประกันค่าใช้จ่ายอื่นๆ หรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ จำพวก ทำโซฟาเป็นรอย ทำแก้วแตก สั่งRoom Service หรือ กรณีทานมินิบาร์ในห้องพัก แบบนี้พบได้ในกรณีที่คุณมีการชำระค่าห้องพักล่วงหน้ามาแล้ว โรงแรมจึงเรียกเก็บเฉพาะส่วนนี้ จำนวนประมาณ 500 - 1,000 บาทต่อคืน แล้วแต่นโยบายของโรงแรม กรณีสุดท้ายคือ ลูกค้าต้องการชำระค่าห้องพักวันเช็คเอ้าท์ เผื่อมีการเปลี่ยนแผน เกิดชอบใจบรรยากาศและการดูแลที่ดี จึงได้ Extend Stay หรือเลื่อนวันเช็คเอ้าออกไป หรือ Shorten Stay เลื่อนวันเช็คเอ้าท์ออกก่อนกำหนด แบบว่าพักแล้วมีเหตุด่วนเจ้านายตามกลับมาทำงาน ทางโรงแรมจะเรียกค่ามัดจำ ที่เป็น ค่าห้อง + incidential charges ตัวอย่างการคำนวนกรณีสุดท้ายก็จะประมาณว่า คุณเข้าพักโรงแรม 2 คืน ค่าห้องพักคืนละ 2,000 บาท และมีเงื่อนไข incidential charges อยู่ที่ 1,000 บาท ต่อคืน ก็จะเป็น ค่าห้องพัก 2,000 x 2 คืน = 4,000 บาท Incidental Charges 1,000 x 2 คืน = 2,000 บาท รวมยอด 6,000 บาท โดยสามารถเลือกชำระเป็นเงินสดหรือบัตรเครดิต เงินสด เหมาะสำหรับ ลูกค้าที่มีสภาพคล่องและต้องการการคืนเงินที่รวดเร็ว กรณีใช้จ่ายไม่ถึงวงเงินมัดจำที่โรงแรมขอไว้ ซึ่งสามารถนำใบเสร็จมารับคืน วันที่เช็คเอาท์ได้เลย บัตรเครดิต เหมาะสำหรับ ลูกค้าที่ต้องการเก็บเงินสดไว้ใช้จ่ายอื่นๆ และ ไม่ได้มีแผนต้องใช้บัตรเครดิตใช้จ่ายในทริปนี้มาก ซึ่งทางโรงแรมจะทำการขออนุมัติวงเงิน (Pre-Authorization) คล้ายๆกับการล๊อควงเงินในบัตรคุณไว้ ไม่สามารถใช้จ่ายที่อื่นได้ โดยการคืนวงเงินกลับไปจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน หากท่านไหนสนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม ทาง Eng in Hotel จะเขียนแยกไว้ในอีกบทความ ดังนั้นทุกครั้งที่คุณจองห้องพักตามโรงแรม 5 ดาว อย่าลืมโทรไปสอบถามถึงนโยบายการเรียกเก็บเงินค่ามัดจำนะคะ เพื่อจะได้เตรียมงบในการเข้าพักได้พอดี 2.การขอรับการบริการพิเศษ ที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่าทำได้ด้วยหรือ และพนักงานอยากให้คุณใช้อย่างเต็มที่ 2.1 ฉลองโอกาสพิเศษต่างๆ โดยสามารถแจ้ง ผ่านทางอีเมลล์ / โทรศัพท์มา หรือ ตอนเช็คอิน อันนี้บางครั้งลูกค้าอาจจะเกรงใจ แต่ พนักงานอยากบอกว่า แจ้งได้เลยค่ะ ถ้าคุณมาทริปนี้มีวันเกิดใคร อยากจะเซอร์ไพรส์ บางโรงแรมจะมีเค๊กสมมนาคุณให้โดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม เพราะทางโรงแรมยินดีมากๆที่จะร่วมฉลองกับลูกค้า และทำให้ลูกค้าของเรามีความสุขที่สุด โดยหากเราตั้งใจจองเป็นทริปพิเศษจริงๆ อย่างเช่น มา Honeymoon หรือมา ฉลอง Anniversary เราสามารถส่งอีเมลล์มาหาทาง Guest Service Team ทางโรงแรมก็จะพิจารณาตามความเหมาะสม (นี่ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโรงแรมด้วยนะคะ) 2.2 ขอของพิเศษที่ขอไปแล้วไม่โป๊ะแน่ ขอได้เต็มที่แบบไม่ต้องเกรงใจ มาดูกันดีกว่าว่าเราสามารถขอได้ประมาณไหนบ้าง กรณีเดินทางกับเด็กน้อย เบบี้ อายุไม่เกิน 1 ปี สามารถขอ - เตียงเด็ก หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Baby Cot ได้ค่ะ - อ่างอาบสำหรับเด็ก - ชุดเครี่องนอนสำหรับเด็ก กรณีเดินทางกับผู้สูงอายุ - สามารถขอห้อง Adapted room หรือ ห้องสำหรับผู้ใช้ Wheel Chair ซึ่งความพิเศษของห้องนี้จะอยู่ที่ เป็นการยืนอาบน้ำ (ไม่มีอ่างอาบน้ำ) และ มีราวจับในห้องน้ำเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้สูงอายุ - เก้าอี้สำหรับนั่งอาบน้ำ กรณีเดินทางเป็นครอบครัวที่จอง 2 ห้องขึ้นไป (ทุกอย่างแนะนำให้ส่งอีเมลล์หรือโทรไปแจ้งขอล่วงหน้า) - Connecting Room คือ ห้องพักที่มีประตูเปิดทลุะหากันได้จากในห้อง - Adjoining Room คือ ห้องพักที่อยู่ชั้นเดียวกัน อยู่ติดกัน แต่ข้างในไม่มีประตูทะลุหากันได้ - เตียงเสิรม (สำหรับเด็ก อายุมากกว่า 1ปี) ขอห้องไร้ขน Feather Fee Room (หากคุณแแพ้ขนเป็ด ขนห่าน) ซึ่งภาษาโรงแรมเรียกว่า Feather Free Room ห้องปลอดขนนั่นเอง โดยหมอนจะเปลี่ยนเป็นแบบโฟม ไส้ผ้าห่มเปลี่ยนเป็นแบบเฉพาะ อะไรที่มีขนจะเอาออกให้หมดค่ะ เบ็ดเตล็ด - ขอหมอนแบบต่างๆ (ตามเมนูโรงแรมมี) - ขอน้ำเปล่าเพิ่มเป็น 5 ขวด - ยืมสายชาร์จแบต / สายต่อทีวี - ยืม Adaptor แปลงไฟเป็น 220W - ขอเช็คอินก่อนบ่ายสอง - ขอเช็คเอ้าท์หลังเที่ยง - ขอฝากของไว้ที่โรงแรมหลังเช็คเอาท์แล้วเพื่อไปเที่ยวที่อื่นก่อน - ขอให้พนักงานจองร้านอาหารต่างๆทั้งในและนอกโรงแรม/ จองทัวร์ / ช่วยหาข้อมูล (ใช้บริการ Concierge) / จัดหารถเพื่อใช้ในการท่องเที่ยวของคุณ - แจ้งพนักงานตอนเช็คอินว่าห้องของคุณเป็น Confidential หรือความลับ โดยกรณีนี้ พนักงานทุกคนจะดูแลคุณอย่างดีเหมือนเดิม แต่คุณจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยในแง่คนนอกที่ต้องการมาหาคุณ หรือ พยายามโทรเข้าโรงแรมแล้วถามหาคุณ เป็นปฏิบัติการไร้เงา 3.การให้ทิป และ การคำนวนภาษีและservice charge ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้บังคับว่าเราต้องให้พนักงานนะคะ ในมุมมองพนักงานเอง บางครั้งก็ไม่ได้คาดหวังว่าลูกค้าจะต้องให้ เพราะมันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องดูแลคุณให้ดีที่สุดอยู่แล้ว เว้นว่าลูกค้ารู้สึกดีจริงๆ แล้วอยากให้เล็กๆน้อยๆ ทางเราก็ยินดีรับค่ะ เป็นขวัญและกำลังใจ ควรให้เท่าไหร่ดี? คือคำถามยอดฮิต จริงๆควรแล้วแต่ลูกค้าว่าประทับใจในการบริการมากน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบางครั้ง ลูกค้ารู้สึกเกรงว่าการให้ทิปจะเป็นการดูแคลนพนักงานหรือไม่ เราจึงขอบอกเลยว่า "พนักงานไม่เคยรู้่สึกเช่นนั้นเลย เพราะทุกครั้งที่ได้รับทิปจากลูกค้ามีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า" ถ้าเขินจริงๆ หรือ เกรงใจ เราจะบอกความจริงอีกข้อว่า โดยทั่วไปแล้ว ค่าบริการจะคิดรวมไปแล้วประมาณ 10% ของมูลค่าห้องพัก หรือ สินค้าที่คุณซื้อค่ะ ดังนั้น การให้ทิปนั้น พนักงานโรงแรมถือว่าเป็นเรื่องของน้ำใจจากลูกค้าจริงๆ สื่อถึงคุณภาพของการบริการมากกว่า เหมือนให้กำลังใจพนักงานว่า เขาทำดีแล้วนะให้ทำดีต่อไปค่ะ ทางเราเองไม่เคยคิดเรื่องให้มากหรือน้อยเลย มันมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า ซึ่งหากเอ่ยถึงค่าบริการแล้ว เราอยากจะเปิดให้ดูถึงวิธีการคำนวน เพื่อให้คุณสามารถนำไปคำนวนมูลค่าที่คุณต้องจ่าย จะได้ไม่สับสนเรื่องราคาสินค้าและบริการภายในโรงแรมค่ะ ซึ่งหลักการคิดค่าบริการและภาษีมีดังนี้ หากคุณเห็นราคาแบบนี้ในเมนูอาหาร/ สปา / Room Service หรือ อัตราค่าห้องพัก 999++ บาท เครื่องหมายบวกในแต่ละกัวจะหมายถึง + ตัวแรก หมายถึง 7% ภาษีมูลค่าเพิ่มที่โรงแรมต้องหักให้รัฐบาล + ตัวที่สอง หมายถึง 10% ค่าบริการหรือ Service Charge ซึ่งรายได้ส่วนนี้จะแชร์กลับมาให้กลับพนักงานที่น่ารักทุกคน ซึ่งถ้าเราอยากจะทราบว่ายอดเต็มที่เราต้องจ่ายคือเท่าไหร่ ให้นำ 1.177 เข้าไปคูณ เช่น 999++ x 1.177 = 1,175 THB โดยประมาณ ถามว่าสูตรนี้มายังไง คือ มีการคิด 2 ขั้น ขั้นแรก มูลค่าสินค้า +7% สำหรับจ่ายภาษี ได้ออกมาเป็น ก้อน A 7% ของ 999 คือ 69.93 ก็เอา 69.96 มาบวกเพิ่มเข้าไปที่ 999 ได้เป็น ก้อน A คือ 1068.93 ขั้นที่สอง ก้อน A + 10% ของก้อน A ก้อน A คือยอด 1068.93 บาท 10% ของก้อน A (1068.93) คือ 106.89 บาท ดังนั้นค่าบริการรวมทั้งหมด คือ ก้อน A +106.89 1068.93+106.89 = 1,175.82 THB นั่นเอง สรุปให้ว่า ค่าบริการ หรือ Service Charge จะคิดจาก 10% ของมูลค่าสินค้าที่รวมกับVat 7% แล้วค่ะ แต่ถ้าจะให้ง่ายและไว เอา 1.177 คูณเข้าไปเลยค่ะ เราคิดมาให้แล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ค่าบริการได้รวมกับยอดเงินที่ลูกค้าชำระไปแล้ว พนักงานจึงไม่ได้คาดหวังทิปจากลูกค้าในแง่ของรายได้ แต่ถ้าหากได้รับทิป จะออกมาเป็นในแง่ของการให้กำลังใจค่ะ โดยรวมแล้ว ทั้งธรรมเนียมการเรียกเก็บเงินค่ามัดจำ การขอรับบริการพิเศษต่างๆเพิ่ม และ การคำนวนมูลค่าสินค้าและบริการที่คุณต้องจ่าย เป็นเพียงส่วหนึ่งในการเข้าพักเท่านั้น แต่ละโรงแรมก็จะมีนโยบายในการบริการที่แตกต่างกันออกไป ลูกค้าควรสอบถามโดยตรงกับทางโรงแรม และคำแนะนำที่เราแบ่งปันเป็นเพียงแนวทางให้คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมและไม่โป๊ะเวลาเข้ารับบริการนั่นเองค่ะ ขอบคุณรูปภาพจาก รูปปก: Canvas.com และ Freepik รูปที่ 1: Canvas.com รูปที่ 2: Canvas.com รูปที่ 3: Canvas.com รูปที่ 4 : Free Pik