บ้านเรามีอาคารเก่าแก่แต่งดงามอยู่มากมายหลายแห่ง บ้างก็ถูกทิ้งร้าง รอวันพังทลายหายไป บ้างก็ถูกรีโนเวทให้เป็นโรงแรม เป็นคาเฟ่ ทำให้สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่ามีชีวิตรอดอยู่ต่อไปในยุคดิจิตอล และ "ศุลกสถาน" หรือโรงภาษีเก่าย่านเจริญกรุง คือหนึ่งในมรดกชาติที่กำลังจะได้รับการบูรณะให้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ศุลกสถาน คือโรงภาษีเก่า หรือ โรงภาษีร้อยชักสาม ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซอยเจริญกรุง 36 พื้นที่ประมาณ 4 ไร่ 47 ตารางวา นับตั้งแต่ไทยได้ลงนามในสนธิสัญญาบาวริงกับรัฐบาลอังกฤษเมื่อปี ค.ศ.1855 ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นการเปิดประตูการค้ากับประเทศตะวันตก มีผลให้ไทยต้องจัดตั้งศุลกสถาน (Customs House) หรือโรงภาษีขึ้นเพื่อจัดเก็บภาษีขาเข้าในอัตราร้อยละสาม (ร้อยชักสาม) และภาษีขาออกตามที่ระบุไว้ท้ายสัญญา ในราวปี พ.ศ.2427 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างกลุ่มอาคารศุลกสถานดังที่เห็นในปัจจุบันนี้ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องสินค้าหนีภาษีและการจัดเก็บภาษีได้ไม่ทั่วถึง ออกแบบโดย โยอาคิม แกรซี (Joachim Grassi) สถาปนิกผู้ถือสัญชาติฝรั่งเศส โดยอันดับแรกได้สร้างอาคารใหม่ขึ้นสองหลัง ขนาบบ้านเดิมของพระยาอาหารบริรักษ์ ตึกแบบจีนที่ใช้เป็นโรงภาษีมาแต่เดิม เป็นอาคารยาวสูงสองชั้น วางผังตั้งฉากกับแม่น้ำเจ้าพระยา อาคารด้านทิศเหนือเป็นที่ทำการภาษีขาเข้าขาออก หลังด้านทิศใต้เป็นที่ทำการภาษีข้าวและที่ทำการไปรษณีย์ ต่อมาในราวปี พ.ศ.2430 ได้รื้ออาคารเก่าแบบจีนตรงกลางลง แล้วสร้างอาคารใหม่ขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2431 - 2433 เป็นอาคารศุลกสถานซึ่งเป็นที่ทำการของกรมศุลกากรตั้งแต่สร้างเสร็จจนถึง พ.ศ.2492 กรมศุลกากรจึงย้ายไปอยู่ที่คลองเตย ต่อมาในปี พ.ศ.2502 สถานที่แห่งนี้ถูกปรับบทบาทเป็นที่ทำการของสถานีตำรวจดับเพลิงบางรัก อยู่เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 60 ปี ก่อนจะย้ายออกไป ปัจจุบันตัวอาคารถูกปิดการเข้าใช้งาน และอยู่ในสภาพทรุดโทรม โดยมีโครงสร้างส่วนหนึ่งชำรุดผุพัง สถาปัตยกรรม : อาคารหลักเป็นอาคารขนาดใหญ่สูงสามชั้น โดยมีมุขกลางสูงสี่ชั้น อาคารทั้งสามหลังมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิค ที่มีการใช้วัสดุมุงหลังคาเป็นกระเบื้องกาบกล้วยแบบจีน โดยอาคารขนาดใหญ่สามชั้นตั้งอยู่ตรงกลาง และอาคารสองชั้นก่ออิฐถือปูน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและใต้ อาคารวางตัวในแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ หันหน้าออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ล่าสุด ได้มีการลงนามข้อตกลง “โครงการพัฒนาที่ราชพัสดุแปลงที่ตั้งโรงภาษีร้อยชักสาม” ระหว่าง กระทรวงการคลัง กับ บริษัท ยู ซิตี้ (จำกัด) มหาชน ด้วยงบประมาณมูลค่ากว่า 4,600 ล้านบาท โดย ยู ซิตี้ พร้อมด้วยกรมศิลปากร เริ่มลงพื้นที่สำรวจทางโบราณคดี บันทึกและศึกษารายละเอียดด้านสถาปัตยกรรมของอาคาร เพื่อดำเนินการเนรมิตอาคารประวัติศาสตร์อายุกว่า 130 ปีแห่งนี้ ให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง พร้อมทั้งยกระดับศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ในย่านเจริญกรุง โดยจัดตั้งคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศเข้าร่วมพัฒนาโครงการฯ ในอนาคตข้างหน้า เราจะกลับมาพบกับรูปลักษณ์ใหม่ของอดีตโรงภาษีเก่าแห่งนี้ มันจะออกมาในรูปแบบไหน หน้าตาเป็นอย่างไร อีกหกปีข้างหน้าเจอกัน