ตกหลุมรักอย่างจังกับยอดดอยผาตั้ง 104 ที่เชียงรายนี่เอง เป็นยอดดอยที่เพิ่งเปิดใหม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปยลโฉมได้ยังไม่ถึง 4 เดือน เพิ่งเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 นี้เอง ที่นี่เป็นดินแดนชมหมอก 2 แผ่นดิน ระหว่างฝั่งไทย และ สปป.ลาว ช่วงเดือนมกราคมส่วนใหญ่ที่นี่จะมีหมอกตั้งแต่เช้าจดเย็นเลย เหมือนอยู่ในดินแดนสวรรค์แผ่นดินลอยอยู่บนเมฆ ฟินอย่าบอกใครเลย การขึ้นยอดดอยนี้ต้องติดต่อที่ที่พักให้จองรถให้ จะเป็นรถกระบะมารับเราถึงที่พัก ค่ารถคันละ 600 บาท รถมารับตี 5 ครึ่งเพื่อมีเวลาให้เราได้เดินเท้าต่ออีกประมาณ 300 เมตรถึงยอดดอย จุดชมวิวบนยอดดอย 104 ชาวบ้านในชุมชนช่วยกันจัดทำไว้อย่างดี มีกระสอบทรายมาวางเพื่อจำลองให้เหมือนป้อมปืนเมื่อสมัยยังมีการรบกัน ขอบอกว่ากระสอบทรายใหม่มาก ๆ ดำขลับแบบยังไม่มีล่องรอยการเหยียบเลย เส้นทางเดินสบายๆ เดินได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ วิวยอดดอยแบบพาโนรามา 360 องศาหมุนได้รอบตัว ทางเจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่าที่นี่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจกันของคนในพื้นที่ดอยผาตั้งที่ช่วยกันบุกเบิกเส้นทางขึ้นยอดดอยเพื่อเปิดให้เป็นจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสความงดงามของธรรมชาติอย่างใกล้ชิด เค้าร่วมกันบริหารจัดการเพื่อกระจายรายได้ให้กับชุมชนที่อยู่ไกลจุดท่องเที่ยวได้มีรายได้จากการบริการรถรับส่งนักท่องเที่ยว ฟังแล้วรู้สึกดีมาก ๆ กับความสามัคคีและเอื้อเฟื้อกันในชุมชน แบบนี้นักท่องเที่ยวแบบเราสนับสนุนเต็มที่ พอสาย ๆ ชมทะเลหมอกจนเต็มอิ่มแล้ว ระหว่างรถพากลับที่พักก็จะผ่านจุดไฮไลท์อีกจุดที่โรงเรียนบรรพตวิทยา รถทุกคันต้องจอดลงมาชมความงามของดอกนางพญาเสือโคร่งที่ออกดอกสีชมพูสะพรั่งเต็มต้น เหมือนอยู่ญี่ปุ่นยังไงยังงั้นเลย ดงซากุระชัด ๆ ฟินไปกับสีหวาน ๆ ของดอกไม้ เหมือนโลกนี้เป็นสีชมพู ใครจะมาดอยผาตั้ง ให้มาที่ตำบลปอ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ห่างจากภูชี้ฟ้าแค่ 30 กิโลเมตร เมื่อก่อนนี้แต่ละยอดดอยจะเป็นป้อมปืนสำหรับกองกำลังทหารที่สู้รบกับชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนระหว่างเรากับประเทศเพื่อนบ้าน ยอดดอยผาตั้งที่เปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวมานานแล้ว คือ ยอดดอย 102 และ 103 ซึ่งต้องใช้การเดินเท้าเพื่อพิชิตยอดดอยทั้ง 2 นี้ ระยะทางการเดินจากจุดทางเข้าไปยังยอดดอย 102 ประมาณ 700 เมตร และเดินต่อไปยังยอดดอย 103 อีกประมาณ 500 เมตร หากใครเดินไม่ไหวที่นี่เค้ามีม้าไว้คอยบริการ ค่าบริการขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปที่จุดไหน เค้ามีจุดแวะชมวิวหลายจุดอยู่เหมือนกัน แต่ไหน ๆ มากันแล้ว แนะนำให้ไปไกลที่สุดที่ยอดดอย 103 ค่าบริการม้าแค่ 350 บาทเอง นั่งได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่นั่งได้แค่คนเดียวนะ เพราะทางเดินมีทางลาดชันขึ้นเขาลงเขาเป็นระยะเพื่อความปลอดภัย การนั่ง 1 คนจะสามารถทรงตัวได้ดีกว่า ถ้าพูดถึงที่พักอยากแนะนำที่นี่เลย ผาตั้ง ภูหมอก รีสอร์ท เราว่าที่นี่ใหม่และสวยสุดในผาตั้งละ เจ้าของใจดี ที่พักสะอาด อาหารเช้าอร่อยมาก ที่นี่เค้าเปิดแค่ 4 เดือนช่วงฤดูท่องเที่ยวแค่นั้นนะ พี่เจ้าของบอกว่าอยากให้รีสอร์ทยังคงสภาพใหม่ ๆ ไม่อยากให้เก่า ช่วงปิดรีสอร์ทพี่เค้าก็ไปปลูกผักส่งโครงการหลวง ช่วงกลางวันเค้าก็ไม่รับลูกค้าที่จะมาทานอาหารเลย พี่เค้าบอกว่าจะได้ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปทานอาหารตามแหล่งท่องเที่ยวในชุมชนจะได้กระจายรายได้กันไป คือใจพี่หล่อมากเหมือนหน้าตาพี่เลย ฟังพี่เค้าพูดแล้วก็ชื่นใจเหมือนเป็นคนในพื้นที่ด้วยเลย สำหรับอาหาร มาเยือนผาตั้งทั้งทีขาดไม่ได้ต้องขาหมูยูนนาน แต่เราไม่ได้แนะนำร้านใหญ่ที่ทุกคนไปกันนะ เราเจอร้านเด็ดมาล่ะ จากจุดจอดรถ ขึ้นยอดดอย 102, 103 มีทั้งร้านขายอาหาร ขายของฝากเรียงรายเป็นแถว ร้านปิติกาญจน์ โภชนา ร้านนี้อร่อยทุกอย่าง ถ้าให้แนะนำก็ตามนี้เลย ขาหมูหมั่นโถวยูนนานเนื้อนุ่มละลายในปาก ผัดยอดถั่วลันเตา ผัดถั่วหวาน ผักกร๊อบกรอบ ก๋วยเตี๋ยวยูนนาน อร่อยจนต้องขอต่อชามที่ 2 นึกถึงแล้วก็น้ำลายไหล ราคาก็เป็นมิตรไม่เหมือนกับร้านใหญ่ ๆ ที่ต้องนั่งรอคิวท้องกิ่วไปอีก -_-' หากยังมีเวลาอีกสักคืนก็ยากให้ไปพักที่ภูชี้ฟ้าด้วยนะเพราะอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ถ้าเวลาไม่มากเราแนะนำเลยว่า ผาตั้ง เที่ยวได้ทั้งวันระหว่างทางอย่าลืมและซื้อสตรอเบอรี่ และอโวคาโด ด้วยนะ จะซื้อกินเองหรือซื้อเป็นของฝาก บอกเลยที่นี่ไม่ทำให้คุณผิดหวัง ทั้งสดทั้งอร่อยไม่เหมือนที่ไหนแน่นอน จัดเลย ^^ ทริปหน้า แก้วเปล่า จะพาไปเที่ยวที่ไหนรอติดตามกันนะคะ