เดิมทีวันที่ 11 เดือน 11 ปี 2565 นี้ เราตั้งใจเดินทางไปพักผ่อนที่หนองเขียว เมืองงอย สปป.ลาว แบบชิลล์ๆ สบายๆ สโลว์ลี่ไลฟ์อะไรประมาณนั้น เอาจริงไม่คิดว่าจะเขียนบทความนี้ด้วยซ้ำ แต่เพราะความคิดที่ว่า สถานที่สวยๆ ดีๆ ต้องบอกต่อ บทความนี้จึงเกิดขึ้น หนองเขียว เมืองงอย ห่างจากตัวเมืองหลวงพระบางประมาณ 140 กม.โดยในเรื่องการเดินทางขอเล่าแบบรวดเร็วไม่ละเอียดมากนักคือเราเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบางรอบ 07.30 น. ถึงหลวงพระบาง 09.30 น. โดยประมาณ พอถึงก็แวะชมเมืองหลวงพระบางนิดหน่อย (เพราะตั้งใจแวะกลับมาเที่ยวเต็มๆ ตอนกลับจากหนองเขียวแล้ว) รับประทานอาหารเที่ยงที่หลวงพระบางเสร็จแล้ว ประมาณเวลาเที่ยงครึ่งก็เดินทางด้วยรถตู้เหมาจากหลวงพระบางไปหนองเขียวใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงกว่าๆ พอถึงหนองเขียวก็พักเหนื่อยจากการนั่งรถ พักดื่มน้ำ นั่งเล่นชิลล์ๆ เอาแรงสักพักที่ร้านอาหารริมสะพานก่อนจะขึ้นไปชมวิวที่คนล่ำลือว่า งดงามเกินคำบรรยาย ณ จุดชมวิวผานาง ซึ่งเป็นจุดไฮไลท์ของทริปนี้ที่ตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่า ต้องขึ้นไปชมให้ได้ ถ้าเปรียบเหมือนละครก็เป็นตัวเอกของเรื่องนั่นเอง พอได้พักจนหายเหนื่อยแล้ว เวลาประมาณสี่โมงเย็นกว่าๆ ก็ถึงเวลาเดินขึ้นเขา คือใจมันร่ำร้องบอกว่า รีบขึ้นไปเร็วๆ อยากชมวิวแล้ว นึกถึงคำที่ว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ก็เลยรีบก้าวเท้าเดินขึ้นไปอย่างมุ่งมั่น ทางขึ้นไม่ชันมาก มีราวไม้ไผ่ให้จับเป็นระยะๆ เดินไปด้วยชมต้นไม้ใบหญ้าไปด้วย ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาทีก็ถึงจุดชมวิวผานาง พอมาถึงจุดชมวิวแล้ว บอกเลยว่า หายเหนื่อย คุ้มค่ากับการรอคอยและความพยายาม เพราะวิวสวยงามมาก มองเห็นแม่น้ำลำธาร บ้านเรือน ภูเขา จากมุมสูง ภาพที่ใฝ่ฝันมานานหลายปีวันนี้ได้เห็นด้วยสายตาตนเองแล้ว พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมที่จะเก็บภาพแห่งความประทับใจไว้เป็นความทรงจำที่แสนงดงามไว้ เราชมพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ วันนั้นเป็นวันที่พิเศษมาก มันทำให้เรารู้สึกว่าได้ชมพระอาทิตย์ที่สวยที่สุดวันหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้ เหมือนเวลามันเดินช้าลง เรานั่งพักสบายๆเหมือนลืมความเหน็ดเหนื่อยและเรื่องราวที่วุ่นวายต่างๆ จากวันวานในใจไปชั่วขณะ มองดูธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้ามีความสุขเหลือเกิน จนเผลอคิดไปว่า นานเท่าไรแล้วที่เราไม่ได้รู้สึกอิสระและมีความสุขแบบนี้ เมื่อแสงสีทองที่เคยทอประกายเริ่มหายไป หมอกจางๆ ก็เริ่มปรากฏให้เห็น เปรียบเสมือนสัจธรรมที่ว่า ทุกอย่างมีเวลาในตัวของมันเอง และเหมือนคำที่ได้ยินบ่อยๆว่า ทุกงานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ถึงเวลาต้องลงจากเขาเพื่อไปที่พักแล้วสินะ เราถึงที่พัก ก็อาบน้ำ แล้วพักผ่อน คืนนั้นนอนหลับสบายมากๆ คงเป็นเพราะความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง พอตื่นทำธุระส่วนตัว หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็คิดว่าอยากดูวิวผาชมนางตอนเช้าด้วย เราเลือกขึ้นไปชมวิวอีกครั้งตอนเก้าโมงกว่าๆ อันเนื่องมาจากคนที่นี่บอกว่าเวลานี้วิวจะสวย เพราะแสงอาทิตย์จะกระทบหมอกให้เห็นปุยหมอกสีขาว ประมาณ 10.00 น. เราขึ้นไปถึงจุดชมวิวสูงสุดของผานาง น่าอัศจรรย์ที่ยังมีหมอกให้ชมอย่างสวยงามมากตามคำบอกเล่าจริงๆ ตอนชมวิวในสายหมอก ความรู้สึกเหมือนได้มาหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด หายใจเอากลิ่นไอแห่งธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่ง มารีเฟรชจิตใจให้สดชื่น เติมพลังหัวใจให้เต็มที่ ก่อนจะกลับไปสู้งานอีกครั้ง ในใจครุ่นคิดว่า จะมีบ้างไหมที่เราจะรู้สึกอิสระอย่างแท้จริง ใครยังไม่เคยรู้สึกแบบนั้น ลองมาที่นี่ดูนะ เผื่อคุณจะรู้สึกแบบนั้นบ้างก็เป็นได้ พอถึงเวลา 11 นาฬิกากว่าๆ แดดเริ่มจัด หมอกเริ่มหมด เราก็ลงมารับประทานอาหารที่ร้านอาหารข้างล่าง ส่วนตัวคิดว่า ถ้าต้องให้คะแนนผาชมนาง หนองเขียว เมืองงอย เราให้ที่นี่สิบเต็มสิบไม่หัก เราตั้งใจว่าจะกลับมาเยือนผาชมนางอีกครั้งแน่นอนพิกัด ผาชมนางจาก google maps ภาพโดย ผู้เขียนบทความ “รุ่งอรุณแห่งความเจริญ”แชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”