5 สถานที่ท่องเที่ยว อารยธรรมโบราณ ที่ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้สักครั้งในชีวิต
เรียบเรียงโดย Travel Truelife
ปฏิเสธไม่ได้ว่า อารยธรรมโบราณ นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการของมนุษย์ ทั้งประวัติศาสตร์ การก่อกำเนิดประเทศ ความเชื่อ เรื่อยมาจนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ หรือขนบประเพณีต่างๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากอดีตนับหลายร้อยล้านปี ตกทอดสืบกันมาจนกลายเป็นเราๆ ในปัจจุบันนี่แหละ
ซากร่องรอยอารยธรรมโบราณบางแห่งยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่มาก และกลายเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์, มรดกโลก, สิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของโลกอีกด้วย นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ รวมไปถึงท่องเที่ยวหลายคน หลงใหลในเรื่องราวหลังกำแพงของอิฐทุกก้อนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น เชื่อเหลือเกินว่านี่แหละ คือ 5 สถานที่อารยธรรมโบราณที่ต้องไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้สักครั้งในชีวิต
1. ชีเชน อิตซา (Chichen Itza) : เม็กซิโก
ชีเชนอิตซา เป็นภาษามายา แปลว่า ต้นทางแห่งความสุขสบายของประชาชน ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก เป็นแหล่งโบราณคดีที่สร้างขึ้นโดยชาวมายันซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้า ที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงที่สุดของอาณาจักรมายา ถูกสร้างขึ้นในช่วงที่อารยธรรมเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ทำให้ ชีเชนอิตซา จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาทั้งหมดของชาวมายันทั้งด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม ศิลปกรรม ดาราศาสตร์ ปฏิทิน เป็นต้น
ชีเชนอิตซา มีรูปทรงเป็นสามเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้นๆ พื้นที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า “วิหารแห่งนักรบ” สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 หลังจากสร้างวิหารเก่าแห่งชักโมล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไป ใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดยใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น นอกจากนี้ในส่วนของพีระมิดแห่งเทพเจ้าคูคุลคาน ซึ่งถือเป็นพีระมิดแห่งสุดท้าย และเป็นพีระมิดที่กล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดของอารยธรรมมายาด้วย
นอกจากนี้ ชีเชนอิตซา ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การ UNESCO ในปี 1988 และได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ อีกด้วย และปัจจุบันชีเชนอิตซาได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศเม็กซิโกซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวชมไม่น้อยกว่า 1.2 ล้านคนต่อปีเลยทีเดียว
2. โคลอสเซียม (Colosseum) : อิตาลี
โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬาโบราณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขณะนั้นของอาณาจักรโรมัน ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรมนี้ เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเรียนแห่งจักรวรรดิโรมันเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจด้วยความต้องการที่จะหล่อหลอมราชวงศ์ขึ้นใหม่สำหรับตระกูลของพระองค์ จึงริเริ่มโครงการก่อสร้างขนาดมหึมาขึ้น โดยโคลอสเซียมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น
สนามกีฬากลางแจ้งขนาดมหึมานี้สร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ใช้เวลาการก่อสร้างถึง 10 ปีด้วยกัน ที่แห่งนี้มีห้องสำหรับขังทาส นักโทษ และสัตว์ดุร้าย เช่น สิงโต เสือ โดยจะให้ทาสสู้กันเองจนกว่าจะเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว หรือให้สู้กับสิงโต เพื่อเป็นความบันเทิงให้แก่ผู้ชม ผู้ที่รอดตายจากการต่อสู้จึงจะได้รับอิสรภาพ
โคลอสเซียม เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐ และหินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 55,000 คน นอกจากนี้ยังมีการออกแบบอย่างชาญฉลาด โดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตกอีกด้วย โคลอสเซียมจึงกลายเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆ ในปัจจุบัน
3. มาชูปิกชู (Machu Picchu) : เปรู
เมืองสาบสูญแห่งอินคา หรือ มาชูปิกชู แห่งนี้ เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,350 เมตร ที่ตั้งของเมืองนี้ค่อนข้างกันดารยากที่จะเข้าถึง เพราะตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าอเมซอนและอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา หลังจากอาณาจักรอินคาล่มสลายจากการพ่ายแพ้สงครามให้กับชาวสเปน และโรคระบาด เมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษและได้ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวอเมริกัน ไฮแรม บิงแฮม ในปีค.ศ. 1911
มาชูปิกชู ถูกสร้างเป็นลักษณะขั้นบันไดไล่ลงมาตามความชันของหุบเขา แต่ละชั้นสูง 3 เมตร มีจำนวนทั้งหมด 40 ชั้นซึ่งถูกเชื่อมถึงกันด้วยบันไดกว่า 3,000 ขั้น และมีสิ่งก่อสร้างซึ่งสร้างด้วยหินกว่า 200 หลัง ไฮแรม บิงแฮม นักโบราณคดีชาวอเมริกัน ได้นำเสนอสมมติฐานว่ามาชูปิกชูเคยถูกปกครองโดยนักบวชของลัทธิบูชาสุริยะ และมีการทำพิธีถวายหญิงสาวเป็นเครื่องสังเวยแก่พระเจ้าของพวกเขา ทั้งที่นี่ยังเป็นป้อมปราการสุดท้ายของชาวอินคาที่ต่อสู้กับชาวสเปน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายข้อสันนิษฐาน คือ มาชูปิกชูน่าจะเป็นที่อาศัยของนักบวชเพื่อใช้ในการสังเกตการณ์การโคจรของดวงอาทิตย์ เนื่องจากมีหน้าต่างซึ่งดวงอาทิตย์จะโคจรมาอยู่ตรงกลางพอดีในวันสิ้นสุดฤดูร้อน และวันสิ้นสุดฤดูหนาว ส่วนแท่นบูชายัญที่บิงแฮมกล่าวไว้ น่าจะมีไว้เพื่อเป็นหอสังเกตการณ์การวงโคจรของดวงอาทิตย์เช่นกัน
หรือมีสมมติฐานกล่าวว่า มาชูปิกชูอาจจะไม่ได้เป็นเมืองเลยก็ได้ ที่นี่น่าจะเป็นที่พักตากอากาศสำหรับเชื้อพระวงศ์ในหน้าแล้ง มาชูปิกชูประกอบด้วยราชวังซึ่งมีวิหารและคฤหาสน์ล้อมอยู่รอบๆ ซึ่งรวมไปถึงที่พักของผู้ทำงานในสถานที่นั้นๆ ด้วย คาดว่าในหน้าฝนหรือช่วงที่ไม่มีเชื้อพระวงศ์มาพัก ที่นี่น่าจะมีผู้อาศัยอยู่ไม่เกิน 750 คน เมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าพาชาคูตี้ในช่วงปี 1440 และน่าจะมีผู้อาศัยอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งถูกชาวสเปนมายึดดินแดนในอีก 80 ปีให้หลัง
นอกจากนี้ มาชูปิกชู เป็นหลักฐานที่สำคัญของจักรวรรดิอินคา องค์กร UNESCO จึงได้กำหนดให้ มาชูปิกชูเป็นมรดกโลก ปี 1983 โดยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปศึกษาประวัติศาสตร์ และกลายมาเป็นสถานท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเปรู และเพื่อการอนุรักษ์ทางการจึงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมมาชูปิกชูได้เพียง 500 คนต่อวันเท่านั้น
4. นครเปตรา (Petra) : จอร์แดน
นครเปตรา ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา หุบเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซี กับ ทะเลอัคบา ในประเทศจอร์แดน นครนี้ในสมัยโบราณนั้นเคยเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ เป็นเมืองหลวงของชนเผ่านาบาเชียนซึ่งเป็นชนเผ่าที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนในสมัยก่อน ซึ่งถือกันว่าเป็นศูนย์กลางของอารยธรรม เบื้องต้นของเขตตะวันออกกลาง
ในคริสต์ศตวรรษที่ 2 นาบาทีนส์ต้องพ่ายแก่โรมัน จึงต้องเข้ารวมกับอาณาจักรโรมัน แต่ความสำคัญด้านการค้าของนครเปตรายังอยู่ต่อไป ถนนโรมันถูกสร้างขึ้นจากซีเรียไปยังทะเลแดง โดยฝีมือของชาวเมืองทรอย สิ่งก่อสร้างสำคัญชิ้นหนึ่งในนครเปตรา คือ มหาวิหารกวาซร์ ฟีราโอน ซึ่งสร้างสมัยพระเจ้าอาเรตัสที่ 4 มหาราชของชาวนาบาทีนส์ ซึ่งครองราชย์ระหว่าง 9 ปีก่อน ค.ศ. จนถึง ค.ศ. 40 ภายหลังนครเปตราถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี และได้ถูกค้นพบโดยนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ โจฮันน์ ลุควิก เบิร์กฮาร์ท ในปี ค.ศ. 1812
ชาวนาบาเชียนสร้างเมืองแห่งนี้โดยใช้วิธีการแกะสลักหินให้เป็นช่องอุโมงค์ โรงละครของเมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นต้นแบบของโรงละครแบบกรีก-โรมัน ส่วนหน้าของวิหารเอล เดียร์ ซึ่งสูง 42 เมตร ในเมืองแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีอีกแห่งหนึ่งของสถาปัตยกรรมแบบกรีกโบราณ ทำให้นครเปตราได้รับลงทะเบียนจากองค์กร UNESCO ให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2528
5. กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China) : จีน
กำแพงเมืองจีน สร้างขึ้นจีนสมัยสมัยราชวงศ์ฉิน เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่ามองโกล และเติร์กในอดีต และหลังจากนั้นยังมีการสร้างกำแพงต่ออีกหลายครั้งด้วยกัน มีความยาวทั้งสิ้นกว่า 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่ยาวที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมาจนได้ชื่อว่า กำแพงหมื่นลี้
กำแพงเมืองจีนนี้ ถูกสร้างขึ้นโดย จิ๋นซีฮ่องเต้ โดยทอดตัวไปตามป่าเขา หุบเหว และแม่นำคล้ายกับพญามังกรยักษ์ ตัวกำแพงสูงจากพื้นดิน 20-30 ฟุต หนา 15-20 ฟุต บนกำแพงมีทางเดินกว้าง 10 ฟุต และทุกระยะ 300 ฟุต จะมีป้อมกับเชิงเทินอยู่ประมาณกว่า 15,000 แห่ง ใช้เวลาก่อสร้างไม่น้อยกว่า 10 ปี และต่อมามีการสร้างต่อเติมอีกหลายครั้ง ใช้แรงงานที่เกณฑ์มาจากทั่วประเทศนับล้านคน
เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 ต้นศตวรรษที่ 20 กำแพงเมืองจีนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศจีนในปี 1972 เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เดินเข้าไปในระหว่างการเยือนเพื่อเปิดสัมพันธ์ทางการฑูตกับประเทศจีน และกล่าวว่า “ผมคิดว่าคุณต้องพูดได้ว่า มันต้องเป็นกำแพงอันยิ่งใหญ่ ถูกสร้างโดยคนของประเทศที่ยิ่งใหญ่”
ความยิ่งใหญ่ และประวัติศาสตร์อันยาวนานนี่เอง ทำให้กำแพงเมืองจีนนอกจากจะเป็น 1 ใน 7 มหัศจรรย์ของโลกแล้ว ยังเป็น 1 ในมรดกโลก ที่องค์กร UNESCO คัดเลือกอีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ อารยธรรมโบราณที่ลึกลับอีกหลากหลายแห่ง
เที่ยวภูฏานครั้งแรก ขึ้น ทักซัง เมืองพาโร พลังแห่งศรัทธาบนยอดภูผากว่า 3,000 เมตร
เดินเล่นมิลาน ชมงานศิลป์แบบโกธิค ที่ Duomo di Milano มหาวิหารสูงเสียดฟ้า ก่อสร้างกว่า 400 ปี
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ยุคใหม่ ยุคกลาง ยุคเก่า มรดกโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง
100 สถานที่สวยที่สุดในโลก น่าตะลึงแทบลืมหายใจ !!!
สุดยอด 9 สถานที่ เทพนิยายที่มีอยู่จริงบนผืนโลก
ภาพ: ลิขสิทธิ์ถูกต้องจาก Shutterstock ลิขสิทธิ์ภาพขอสงวนเฉพาะสำหรับงานบทความใน “ทรูไลฟ์” และ “H Travel” เท่านั้น ห้ามไม่ให้นำภาพไปเผยแพร่ผ่านช่องทางอื่นโดยเด็ดขาด
ติดตาม travel.truelife.com อีกช่องทางที่
ทุกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร และที่พัก คลิกที่ http://travel.truelife.com