ภาพของวิวทิวทัศน์ ภูเขา ต้นไม้ที่สวยงามเหล่านี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเกือบ 80 ปีก่อนมันจะเป็นสถานที่ที่โหดร้ายเท่าที่มนุษย์จะกระทำต่อมนุษย์ด้วยกันได้ "ทางรถไฟสายมรณะ" หรือ "ทางรถไฟสายไทย-พม่า" สถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่งยวด แม้มันจะเป็นอดีตอันโหดร้าย ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและความสูญเสีย แต่ก็เป็นสถานที่ที่ทำให้เราเห็นความสำคัญของสันติภาพ ความอดทน และพลังแห่งความหวังที่ไม่เคยสิ้นสุด ช่องเขาขาด ซึ่งเป็นจุดที่คนงานต้องใช้แรงงานมหาศาลในการเจาะหินภูเขาออกเพื่อสร้างช่องทางให้รถไฟวิ่งผ่านได้ การเดินไปตามเส้นทางไปยังช่องเขาขาด เราจะได้เห็นสภาพภูมิประเทศที่เป็นป่าเขาจริงๆ ได้เห็นการทำทางที่ต้องเลียบไปตามหน้าผา และได้เห็นร่องรอยของสิ่งที่หลงเหลืออยู่ เช่น รางรถไฟเก่าที่จมดิน ไม้หมอนรถไฟที่ผุพังไปตามกาลเวลา และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงซากปรักหักพัง แต่เป็นตัวแทนของความทรงจำและจิตวิญญาณของผู้คนที่ถูกฝังไว้ ณ ที่แห่งนี้ เมื่อมาถึงจุดที่เป็นไฮไลท์ คือจุดที่เรียกว่า ช่องเขาขาด เมื่อมองความสูงชันของหน้าผาและความลึกของช่องเขาที่ในอดีตใช้เพียงแรงงานคนและเครื่องมือพื้นฐานเพื่อทำสิ่งนี้ มันดูหนักหนาและยากเอาการ ร่องรอยหมุดต่างๆ สะท้อนเสียงในอดีตให้ก้องกังวาน ยิ่งทำให้ความรู้สึกหดหู่และสงสารจับใจ ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ที่ช่องเขาขาดก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน อาคารพิพิธภัณฑ์ออกแบบมาได้อย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมาย เมื่อก้าวเข้าไป สิ่งที่ดึงดูดความสนใจในทันทีคือภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่บอกเล่าเรื่องราวของเชลยศึกสงครามโลกครั้งที่สองและแรงงานชาวเอเชียที่ถูกบังคับให้มาสร้างทางรถไฟ เราจะได้เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าดวงตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ก็แฝงไว้ด้วยประกายของความแข็งแกร่งของผู้คนที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้าย นอกจากภาพถ่ายแล้ว ยังมีข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเชลยศึกที่ถูกนำมาจัดแสดง เช่น ปิ่นโต หมวก หม้อสนาม และเครื่องมือช่าง สิ่งของเหล่านี้ มันเป็นหลักฐานของการดิ้นรนเอาชีวิตรอด การแบ่งปันอาหาร และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด เสียงบรรยายในพิพิธภัณฑ์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวจากไดอารี่ส่วนตัวของทหารบางนายยิ่งทำให้ความรู้สึกจมดิ่งลงไปอีก พวกเขาเล่าถึงความหิวโหย โรคภัยไข้เจ็บ และความเจ็บปวดทางกาย แต่ในขณะเดียวกันก็พูดถึงมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาและแรงงานชาวเอเชียที่ถูกบังคับมาทำงานด้วยกัน ซึ่งบางครั้งก็มีการแลกเปลี่ยนความช่วยเหลือกันอย่างลับๆ ไฮไลต์ที่ผมประทับใจที่สุดในส่วนของพิพิธภัณฑ์คือการจัดแสดงส่วนที่จำลองบรรยากาศการทำงานในตอนกลางคืน ที่มีการใช้ไฟสลัวๆ และเสียงดนตรีประกอบที่น่าขนลุก มันจำลองสภาพการทำงานของคนงานที่ต้องทำงานทั้งวันทั้งคืน เสียงระเบิดหิน เสียงตะโกนสั่งงาน เสียงเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บ และเสียงเครื่องมือกระทบหินก้องกังวานไปทั่วห้อง ทำให้ผมจินตนาการได้ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็น "ช่องนรก" ที่แท้จริงได้อย่างไร การได้สัมผัสบรรยากาศนี้ด้วยตัวเองทำให้ความเข้าใจในประวัติศาสตร์ของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องราวในหนังสือเรียนอีกต่อไป แต่เป็นประสบการณ์ที่สัมผัสได้ด้วยทุกประสาทสัมผัส ที่จะทำให้เรารู้ว่าสงครามมีแต่ความสูญเสีย และสันติภาพมีค่ามากมายขนาดไหน การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวไปยังพิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด (Hellfire Pass Interpretive Centre) แผนที่ https://maps.app.goo.gl/VTyyKF6pha38w4Re6 จากกรุงเทพใช้ระยะทางประมาณ 237 กม. และใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง 26 นาที โดยมีเส้นทางหลักคือ ทางหลวงพิเศษสาย อ.บางใหญ่-กาญจนบุรี/ทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 323 พิพิธภัณฑ์จะตั้งอยู่ริมถนนในพื้นที่ ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค *หมายเหตุ บุคคลในภาพถ่ายได้ให้อนุญาติในการเผยแพร่ลงบทความแล้ว ภาพถ่ายและเนื้อหาทั้งหมดในบทความ เขียนขึ้นโดยผู้แต่งเอง (Wefoto) อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !