เปิดตำนานชาวไวกิ้ง Viking นักเดินเรือผู้ห้าวหาญ และนักรบผู้แสวงหาวัลฮัลลา Valhalla
ไวกิ้ง หนึ่งในกลุ่มนักรบที่ปัจจุบันเราจะได้เห็นพวกเขาบ่อยมากทั้งในภาพยนตร์ ซีรีส์ การ์ตูน และเกมส์ต่างๆ แม้ภาพจำของพวกเขาที่เราเคยรับรู้มาบางอย่างอาจไม่ได้ตรงกับความจริงไปบ้าง เช่น การใส่หมวกเกราะมีเขา การเป็นพวกป่าเถื่อนไม่รู้หนังสือ หรือการใช้ชีวิตด้วยการปล้นอย่างเดียว เป็นต้น แต่เรื่องราวที่ได้รับการเสริมเติมแต่งเหล่านี้ ก็ทำให้ตำนานของพวกไวกิ้งดูสนุกสนาน และน่าติดตามขึ้น
ใครอยากจะรู้จักพวกเขาให้มากขึ้น และอินกับตำนานมากกว่าเดิม ครั้งนี้เราจะมานำเสนอเรื่องราวของชาวไวกิ้ง บรรพบุรุษในตำนานของผู้คนในแถบสแกนดิเนเวียน ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนครับ
ไวกิ้ง คือใคร ใช้เรียกชนกลุ่มใดบ้าง?
แผนที่แสดงการตั้งถิ่นฐานสแกนดิเนเวียของชาวไวกิง โดย Briangotts , CC BY-SA 3.0
คำ ไวกิ้ง นั้นใช้เรียกรวมๆ กลุ่มนักรบ นักเดินทาง พ่อค้า ที่เดินทางมาจากกลุ่มประเทศแถบสแกนดิเนเวีย อันได้แก่ เดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน ทั้งที่แต่ละภูมิภาคมีการปกครองเป็นเอกเทศ มีความแตกต่างกันหลายๆ ด้าน แต่สำหรับคนแดนอื่นจะเรียกเหมารวมพวกนี้ว่าไวกิ้งทั้งหมด เพราะคนทางทางเหนือนั้นถูกมองว่าเป็นพวกนอกรีตในสายตาของชนชาติที่โดนบุกเข้าปล้น ซึ่งก็คือชาวคริสต์ในสมัยนั้นนั่นเอง
ต้นกำเนิดของคำว่าไวกิ้งนั้น แท้จริงแล้วยังไม่สามารถหาต้นตอได้ว่าใครเป็นผู้เริ่มใช้ เพราะสำหรับชาวสแกนดิเนเวียนโบราณก็ไม่เรียกตัวเองด้วยคำนี้ หรือกระทั่งชนชาติที่โดนไวกิ้งเข้าปล้นก็ไม่เรียกเช่นกัน คำที่พอจะคุ้นเคยใกล้เคียงเห็นจะเป็นคำว่า นอร์มังส์ (Normans) ที่ชาวแฟรงค์ส (Franks) หรือคนฝรั่งเศสโบราณใช้เรียกพวกนี้นั่นเอง ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า กลุ่มคนจากทางเหนือ (เพราะพวกนี้ล่องน้ำมาจากทิศเหนือ)
ทั้งนี้มีการสันนิษฐานว่า คำว่า Viking มาจากภาษาไอซ์แลนด์โบราณว่า Viking-r แปลว่า คนที่อาศัยอยู่แถบช่องแคบ ขณะที่ Viken เป็นพื้นที่ค้าขายสำคัญของนอร์เวย์ จึงเป็นไปได้ว่า ผู้คนที่มาทำการค้าจึงเรียกกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นตามชื่อพื้นที่ก็เป็นได้ ต่อมาคำว่า Viking ก็กลายเป็นความหมายของคำว่า "คนเดินเรือ" และยังถูกใช้คำกริยาหมายถึง ออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนในช่วงฤดูร้อนอันอบอุ่นด้วยเรือยาวไปตามที่ต่างๆ เพื่อค้าขายและปล้นสะดม (อ้างอิง : www.gypzyworld.com/article/view/459#)
ภาพชาวเดนส์เดินเรือเพื่อรุกรานราชอาณาจักรอังกฤษจากคริสต์ศตวรรษที่ 12
ว่ากันง่ายๆ ในยุคนั้นไวกิ้งก็คือโจรสลัดในสายตาคนทั่วไปนั่นเอง โดยพวกเขาจะเริ่มออกเดินเรือเพื่อการปล้นชิงในช่วงฤดูหนาว ที่การเพาะปลูก หรือเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ทำได้ลำบาก พอหมดหน้าหนาวก็กลับมาทำไร่ไถนา วนเวียนอย่างนี้เป็นวัฎจักรไป การบุกโจมตีของชาวไวกิ้ง เริ่มมีมากขึ้นในศตวรรษที่ 9 และขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ศตวรรษที่ 10 จากนั้นก็เริ่มลดระดับลง และจางหายไปในช่วงศตวรรษที่ 11 ที่ชาวไวกิ้งนั้นได้เริ่มลงหลักปักฐานในดินแดนใหม่เป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับปรับตัวเข้ากับผู้คน และสถานที่ใหม่ที่พวกเขาเข้าไปอาศัยอยู่
และแน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ชาวไวกิ้งเป็นตำนานขึ้นมาได้ขนาดนี้ ก็เพราะสิ่งสำคัญที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์อันน่าหวาดกลัว ใครเห็นต้องรีบหนีให้ไวที่สุด นั่นคือ เรือมังกร นั่นเอง
เรือมังกร และเข็มทิศไอโอไลท์ ผู้พาไวกิ้งพิชิตแดนไกล
การออกปล้นสะดมเพื่อความมั่งคั่ง และแสวงหาดินแดนใหม่ที่ไม่ต้องทนเหน็บหนาวของชาวไวกิ้ง จะสำเร็จไม่ได้เลยหากขาดไอเท็มสำคัญ 2 อย่าง นั่นคือ
- เรือที่มีความรวดเร็วสูง ขนาดไม่ใหญ่มาก สามารถล่องในแม่น้ำได้ แต่ในขณะเดียวกันต้องแข็งแรงพอที่จะแล่นฝ่าคลื่นลมทะเลได้ นั่นก็คือเรือไวกิ้ง Drakkar หรือ Dragon นั่นเอง อันที่จริงในความเป็นนักรบอันดุร้าย ชาวไวกิ้งยังแฝงความเป็นวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ด้วยสิ่งประดิษฐ์ 2 อย่างที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์การเดินเรือของยุโรปไปตลอดการ นั่นคือ ใบเรือ และ กระดูกงู นั่นเอง
กระดูกงู คือ ไม้แกนกลางของลำเรือที่มีความยาวตามขนาดของลำเรือ เป็นที่ยึดเกาะของแผ่นไม้กระดานที่ซ้อนต่อขึ้นเป็นลำเรือ ซึ่งการมีแกนกลางนี้ทำให้สามารถสร้างเรือที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีความกว้าง และแบนขึ้น ช่วยให้เรือขับเคลื่อนในผืนน้ำได้อย่างมั่นคงทั้งในแม่น้ำ และทะเลเปิด
ยิ่งในสมัยโบราณที่ผู้คนจะตั้งรกรากกันใกล้กับแม่น้ำด้วย ทำให้ชาวไวกิ้งสามารถเข้าโจมตีได้แทบจะทุกหัวเมืองสำคัญๆ ในแต่ละดินแดน ด้วยยุทธวิธีจู่โจมแบบสายฟ้าแลบ คือยกพลขึ้นบกแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อกวาดต้อนผู้คน และทรัพย์สมบัติแล้วก็ชิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่ากองทัพใหญ่ของที่นั้นๆ ไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเมืองโดนปล้นไปแล้ว - เข็มทิศที่สามารถบอกทิศทางได้ โดยไม่ต้องพึ่งดวงดาว หรือเข็มทิศไอโอไลท์ (Iolite) นั่นเอง ไอโอไลท์เป็นอัญมณีชนิดหนึ่ง สามารถใช้หาตำแหน่งของดวงอาทิตย์ได้แม้ในวันที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดของนักเดินเรือชาวเหนือ
paparazzza / Shutterstock.com
ใครอยากไปชมเรือไวกิ้งของแท้ๆ สามารถไปชมได้ที่ พิพิธภัณฑ์เรือไวกิ้งโบราณ The Viking Ship Museum ที่กรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์นั่นเอง
มุ่งสู่ วัลฮัลลา (Valhalla) แดนสุขาวดีของเหล่านักรบไวกิ้ง
แน่นอนว่าเอกลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างของชาวไวกิ้งที่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงไปทั่ว ก็คือการสู้รบอย่างห้าวหาญ ไม่รักตัวกลัวตาย บางคนยังมารบเพราะอยากตายอีกต่างหาก ที่ความตายสำหรับพวกเขาแล้วมันก็แค่ปากซอยก็เพราะความเชื่อเรื่องวัลฮัลลานี่แหละ เป็นความตายอย่างมีคุณภาพที่สุด
วัลฮัลลา คือชื่อเรียกดินแดนในตำนานของชาวสแกนดิเนเวียน ปกครองโดยเทพโอดิน ที่นั่นเป็นอภิมหาราชวังที่กว้างใหญ่ไพศาล มีประตูมากถึง 540 บาน ประตูแต่ละบานมีขนาดกว้างพอที่นักรบไวกิ้งจำนวน 800 คน โดยมีห้องโถงกลางที่มีอาหาร และเครื่องดื่มวางเรียงรายแบบไม่จำกัดจำนวน กินดื่มได้ไม่อั้นแบบบุฟเฟต์ นักรบที่ได้เดินทางมาอาศัยอยู่ที่นี่จะได้อยู่อย่างอิ่มหนำสำราญ และซ้อมรบไปพลางๆ เพื่อรอที่จะต่อสู้ในศึกสงครามวันสิ้นโลก หรือ Ragnarok ที่เทพโอดินจะเป็นผู้นำทัพด้วยตนเอง
ภาพวาดโถงวัลฮ็อลล์ ภายในวัลฮัลลา
นักรบที่จะขึ้นมาเป็นกำลังพลในสงครามที่สำคัญขนาดนี้ จึงมีแค่นักรบผู้กล้าหาญที่ตายในสนามรบเท่านั้น โดยมีเหล่าเทพธิดา วัลคีรี (Valkyrie) เป็นผู้นำทางพานักรบที่ถูกเลือกข้ามสะพานสายรุ้ง Bifrost เพื่อไปยังวัลฮัลลาต่อไป
จะเห็นได้ว่าแม้ชาวไวกิ้งจะดูดุดันโหดร้ายขนาดไหน แต่สำหรับยุคสมัยแห่งความยากลำบาก และการต้องเอาชีวิตรอดแล้ว การคิดค้นอุปกรณ์เดินเรือ และแนวคิดด้านการสู้รบก็ทำให้พวกเขากลายเป็นที่กล่าวขานถึงทุกวันนี้ และเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมในอีกหลายๆ ด้านของชาวสแกนดิเนเวียน และชาวยุโรปในยุคต่อมา
====================