ผมได้ยินชื่อเสียงของปีนัง เมืองที่ถูก UNESCO จดทะเบียนเป็นมรดกโลกมานานเเล้ว เเต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนสักที เพราะคิดว่าการเดินทางโดยเครื่องบินค่อนข้างหลายต่อ เพราะผมเป็นคนกระบี่ ต้องบินขึ้นไปต่อเครื่องที่กรุงเทพมหานครอีก จนกระทั่งได้รู้ว่า เราสามารถเดินทางไปยังปีนังโดย 'รถตู้!' จากหาดใหญ่นี่เอง ดังนั้น จะรอช้าอยู่ใย ผมจึงรีบจัดกระเป๋าเเละฟิตร่างกายเตรียมตะลุยปีนังในทันทีครับ จากจังหวัดกระบี่ ผมออกเดินทางตั้งเเต่เวลา 7 โมงเช้า จากตัวเมืองกระบี่ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังหาดใหญ่เพื่อเปลี่ยนรถ เราจะถึงหาดใหญ่ประมาณ 11.30 น. และรอรถที่มาเปลี่ยน ซึ่งจะออกประมาณ 12.30 น. ไปยังด่านอำเภอสะเดา เพื่อผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง โดยเราเเค่ยื่นพาสปอร์ตให้เขา ก่อนสแกนลายนิ้วมือเป็นอันเรียบร้อยครับ รถตู้แหวกฝ่าฝูงรถที่ติดกระหน่ำก่อนที่จะเลี้ยวเข้าสู่ตัวเมืองปีนังในเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ผมเลือกพักที่ใกล้ๆตึก Komtar ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในเมืองปีนังเเละยังเป็นศูนย์รวมรถเมล์อีกด้วย นับว่าสะดวกมากๆ แต่ภายหลังผมก็พบว่า เราสามารถพักที่บริเวณไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องพักที่เเถวๆ Komtar อย่างเดียว เพราะการคมนาคมที่สะดวกที่สุดในปีนังก็คือ Grab นั่นเองครับ ประเทศมาเลเซีย ใช้สกุลเงิน ริงกิตมาเลเซีย เรตก็ประมาณ 1 ริงกิต = 8 บาท ส่วนการเดินทางในปีนัง มีหลากหลายวิธี เช่น การนั่งรถบัส, แท็กซี, และ Grab ที่ราคาถูกมาก เริ่มต้นที่ 5 ริงกิต (40 บาท) ไปจนถึง 10 ริงกิต เนื่องจากผมมาถึงที่ปีนังในช่วงเย็นใกล้ค่ำเเล้ว โปรแกรมในวันนี้จึงมีเเค่การเดิมชมเมืองไปเรื่อยๆ เเละการหาอะไรกินที่ Kimberley Street ปีนัง โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมเเบบชิโน-โปรตุกีส คล้ายๆเมืองเก่าภูเก็ตบ้านเรา ดังนั้นการเดินชมเมืองจึงสร้างความเพลิดเพลินได้เป็นอย่างดี สำหรับใครที่กลัวหลง สามารถเปิด Google Map ประกอบได้ รับรองว่าถึงจุดหมายเเน่นอนครับ ระหว่างทางก็จะเจอ Street Art ประปรายครับ อาหารที่ผมเลือกทานในมื้อนี้คือ Cha Kuoay Tiew น่าจะอ่านว่าชาก๋วยเตี๋ยว คนขายบอกว่านี่คือผัดไทยสไตล์ปีนัง หลังจากผมได้ชิมเเล้ว บอกได้เลยว่า คล้ายผัดไทยผสมผัดซีอิ๊วมากกว่าครับ ฮ่าๆ ใช้เวลาเดินชมงานศิลป์ที่ Kimberley Street สักพัก ผมก็กลับโรงเเรมไปพักผ่อนเพื่อที่จะลุย Penang Hill ในวันต่อไปครับ เช้าวันที่ 2 ผมตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่และเรียก Grab ไปยัง Penang Hill ครับ รถจะมาส่งที่หน้าสถานีขึ้นรถรางครับ โดยสนนราคารถรางเเบบไป-กลับ จะตกอยู่ที่คนละ 30 ริงกิต (ประมาณ 240 บาท) ท่านใดที่ต้องการประหยัดเงินสามารถเดินขึ้นไปได้ครับ น่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง รถรางจะใช้เวลาไม่นานครับ ประมาณ 15 นาที เราก็จะได้สัมผัสกับอากาศหนาวๆบนยอดดอยที่ต่างกับอุณหภูมิในตัวเมืองอย่างชัดเจน ด้านบนของปีนังฮิลล์ประกอบไปด้วยร้านอาหาร ที่พัก พิพิธภัณฑ์ ศาสนสถาน รวมไปถึงสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย วัดฮินดูสีสันสูดฉาดที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของปีนังฮิลล์ครับ ร้านอาหารบนปีนังฮิลล์จะแพงกว่าด้านล่างนิดหน่อย จานนี้เรียกว่า Nasi Lemak หรือ นาซี เลอมะห์ เป็นซอสเเดงๆราดบนข้าว กินคู่กับไข่ต้มเเละไก่ต้ม รสชาติค่อนข้างเข้มข้นถูกปากคนไทย ผมใช้เวลาบนปีนังฮิลล์ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงลงรถรางและเรียก Grab เพื่อไปเที่ยวชมวัด เก๊ก ลก สี่ ซึ่งจะใช้เวลาราวๆ 20 นาทีจากสถานีรถรางปีนังฮิลล์ วัดเเห่งนี้เป็นวัดที่มีการประดิษฐานรูปปั้นเจ้าเเม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย จุดเช็คอินต่อไปคือ Chew Jetty ท่าเรือที่ดัดเเปลงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว กลายมาเป็นแหล่งของกินขึ้นชื่อที่นักท่องเที่ยวจะต้องไปสัมผัส อาหารที่ขึ้นชื่อเเละมีขายกันเยอะคือไอศกรีมทุเรียนแสนอร่อยครับ สตรีทอาร์ทแถวๆ Chew Jetty จะเป็นภาพที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวบ้านริมท่าเรือครับ ไม่ไกลจาก Chew Jetty จะเป็น Armenian Street ถนนสายหลักของปีนังที่เป็นจุดเริ่มต้นที่นักท่องเที่ยวใช้ในการไล่ล่า Street Art ครับ โดยถนนสายนี้ยังเป็นที่ตั้งของตึก UNESCO Building ซึ่งถือเป็นอนุสรณ์สถานของการจดทะเบียนปีนังขึ้นเป็นมรดกโลกนั่นเอง ก่อนกลับจากปีนัง ผมได้ตั้งเป้าว่าจะ (พยายาม) เก็บ Street Art ที่ดังๆให้ครบทั้งหมด เเละหลังจากนี้จะเป็นรูปของ Street Art ที่ผมหาเจอ เเต่ละรูปล้วนมีความสวยงามเเละเรื่องราวในตัวมันเอง มารับชมไปพร้อมๆกันเลยนะครับ ก็จบกันไปแล้วนะครับสำหรับทริปสั้นๆที่ 'ปีนัง' เมืองมรดกโลกที่ไม่ไกลจากประเทศไทยของเราเลย การเดินทางในครั้งนี้ใช้เวลาเเค่ 2 วัน 1 คืน เเละงบประมาณไม่เกิน 4,000 บาทครับ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทุกท่าน หวังว่าจะได้พบกันอีกในบทความต่อไป สวัสดีครับ :)