มาเล....พี่ (ไป) มาแล้ว นับว่าตั้งแต่โลกของเราเปิดกว้างขึ้น การเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ตต่าง ๆ ในยุคหลัง ๆ ทำให้ผู้คนได้เปิดโลกมากขึ้น มีการแชร์สถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ จนทำให้เกิดกระแสสังคมจูงใจให้ผู้คนไปเที่ยวสถานที่นั้น ๆ ตาม เหมือนกับผมที่ได้ไปอ่านเจอกระทู้การท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้านของเรา จนทำให้ผมสนใจและได้วางแผน หาข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของประเทศเพื่อนบ้านนี้ จนทำให้เกิดบทความของผม บทความนี้ขึ้นมาครับ บทความนี้ผมให้ชื่อว่า มาเลเซียใคร ๆ ก็เที่ยวได้ (มาเลจ๋า พี่มาแล้ว) ก่อนเริ่มทริปของเรา ผมขอบอกก่อนเลยนะครับว่า ทริปมาเลเซียของผมนั้น ผมเริ่มต้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาครับ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเริ่มที่ดอนเมือง หรือสุวรรณภูมิ ด้วยความที่เป็นคนคิดอะไรที่ พิเลน บวกกับอยากจะใช้ชีวิตแบบ Slow Life ก็เลยจับมือกันนั่งรถไฟชิว ๆ ไปลงที่หาดใหญ่ แล้วไปต่อรถ ย้ำนะครับว่าต่อรถบัสหรือรถทัวร์ลงยังเมืองหลวงของมาเลเซีย นั่นก็คือ กัวลาลัมเปอร์ ครับ นับรวมเวลาบนรถไฟกับบนรถบัส ก็ 13 บวก 8 เท่ากับ 21 ชั่วโมงเองครับ (บ้าดีไหมครับ) นี่ยังไม่รวมเวลาที่นั่งรอรถอีกนะครับ เพราะเราไปถึงหาดใหญ่ตอนเช้า ส่วนรถที่เข้าเคแอล (เคแอล ย่อมาจาก Kuala Lumpur) นั้นคือตอน 1 ทุ่มครับ รอไปสิครับทั้งวัน ผมใช้บริการซื้อตั๋วรถไปกัวลาลัมเปอร์ที่นี่ครับ ที่เดวิสทัวร์ ตั๋วรถที่ได้ก็จะประมาณในรูปครับ หลายคนอาจจะสงสัยว่าบ้ารึเปล่า ที่นั่งรถมาทั้งคืนเพื่อมานั่งรอรถอีก แทนที่จะบินตรงไปเลย ไม่บ้าครับ เพราะในระหว่างที่ผมรอคือผมได้เที่ยวที่หาดใหญ่ด้วยตั้งอีก 1 วัน ไม่ได้นั่งอยู่เฉย ๆ ครับ อีกอย่างผมและเพื่อนอยากจะลองดูว่าถ้าไปเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเกอร์ (Backpacker คือนักท่องเที่ยวที่เที่ยวแบบประหยัดครับ) นั้นจะเป็นยังไง? ภาพถ่ายรถบัสที่ไปเคแอลผมไม่ได้ถ่ายไว้ครับ ต้องขอโทษด้วยเพราะเพลียจริง ๆ ขึ้นรถไปคือนอนเลย แต่บอกและพูดได้เต็มปากเลยครับว่ารถบัสที่เข้าเคแอลดีกว่าบ้านเราหลายเท่าครับ เป็นที่นั่งแบบแถวละ 3 ที่ มีที่ชาร์จและระบบนวด อีกอย่างคือสัญญาณไวไฟฟรีทั้งคืนครับ รอบรถที่ผมไปถึงที่เคแอล ประมาณตี 5 ครับ หลังจากนั้นก็ทำการเช็คอินที่โรงแรม แล้วออกเดินเล่นในเมืองเลยครับ บ้านเมืองของมาเลยเซียก็ไม่ได้แตกต่างจากกรุงเทพบ้านเรามากนะครับ อารมณ์แบบเดินในกรุงเทพทั่วไป แต่ที่ไม่ทั่วไปคือ ที่นี่เราเป็นชาวต่างชาติคือเราจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักนะครับ ผมยอมรับเลยว่ามาเลเซียเป็นประเทศที่ทำให้ผมกล้าพูดภาษาอังกฤษเลยครับ เพราะไปที่ต่าง ๆ ผมจะให้เพื่อนเป็นคนพูดหมด แต่พอมาทริปนี้ตั้งใจไว้เลยว่าจะต้องเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ใช้ภาษาอังกฤษครับ และสถานที่ที่ไม่ไปไม่ได้เลยที่มาเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ ก็คือ ตึกแฝด ตึกปิโตนัสของเราครับ นักท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ ครับ เพราะเป็นจุดแลนด์มาร์คอีกที่หนึ่งที่มาเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ที่ต้องมาเที่ยวครับ ผมได้สังเกตว่ามาเลยเซียคนไทยของเราไปเที่ยวเยอะมาก ๆ หันซ้ายขวาก็คนไทยครับ อาจจะเป็นเพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเรา และค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวก็ไม่ได้สูงครับ วันนี้วันแรกก็ไม่มีอะไรมากครับ เพราะผมและเพื่อนไม่ได้วางแผนตายตัวว่าต้องไปที่ไหนบ้าง เพราะถ้าเที่ยวแบบกำหนดเวลามันไม่สนุกครับ ต้องให้อารมณ์ของเราพาไปว่าจะอยู่ในสถานที่นั้นนานหรือช้าครับ ผมและเพื่อนมีแค่คิดไปว่าวันนั้นต้องไปที่ไหนบ้างแค่นั้นครับ บางครั้งสลับสับเปลี่ยนกันหน้างานก็มีครับ เที่ยวเยอะแล้วก็หิวครับ ก็เลยลองหาอาหารมาเลเซียทานกันดู ผมจะไม่พูดถึงเรื่องอาหารมากนะครับ เพราะอย่างที่เรารู้ว่ามาเลเซียไม่กินหมูกัน และผมก็ไม่กินเนื้อ เพราะฉะนั้นอาหารมันจะวน ๆ เหมือนเดิมทุกวัน หรือถ้าไม่อะไรมากก็แซนด์วิชจบครับผม สำหรับที่มาเที่ยวต้องทำใจเรื่องนี้มาด้วยนะครับถ้าใครไม่กินเนื้ออย่างผม วันที่ 2 ของการอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ วันนี้เรามีโครงการไปเที่ยวที่มะละกาครับ แต่ด้วยความเอ๋อขึ้นรถไฟไปที่สถานีรถบัสผิดสาย เลยทำให้ตกรถ ตั๋วรถที่ซื้อไว้ก็เสียเปล่าเลยครับ คือเราติดขึ้นรถไฟฟ้าที่ไทย ไม่ต้องมองชื่อสถานที่คิดมากับรถไฟ คิดว่าสายนี้ สถานีนี้มันก็มีเส้นเที่ยว ที่จริงไม่ใช่นะครับ ที่มาเลเซียมันจะมีรถไฟเส้นหนึ่งที่วิ่งทับกันหลายสถานีและไปแยกกันเกือบจะสถานีปลายทาง ผมก็หลงรถไฟเส้นนี้แหละครับ ถ้าสังเกตสักนิดก็คงไม่หลง ถือไว้เป็นบทเรียน เพื่อน ๆ ที่ไปเที่ยวไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ก็ระวังเรื่องนี้กันด้วยนะครับ พอตกรถแผนก็เปลี่ยนใหม่ครับ คือเปลี่ยนจากที่จะไปเที่ยวมะละกา เปลี่ยนมาเป็นเมืองปุตราจายา หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง ว่าเมืองปุตราจายาเป็นเมืองใหม่ และจะเป็นเมืองหลวงใหม่ของมาเลยเซีย เพราะเป็นศูนย์รวมราชการต่าง ๆ ของมาเลเซียมาไว้ที่นี่ครับ คือสร้างเมืองใหม่จากดินเปล่า ๆ เลยก็ว่าได้ครับ ดังนั้นอะไรในเมืองนี้จะใหญ่โตมาก ๆ ตึกเกือบจะทุกตึกคือใหญ่มากครับ ไม่ใช่ตึกแบบทั่วไปนะครับ เป็นตึกที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมเข้าไปด้วย มันเลยทำให้เมืองนี้เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากครับ และสถานที่ที่มาที่นี่แล้วต้องไปเลย ก็คือมัสยิดสีชมพู ต้องไปให้ได้เลยนะครับ เพราะสถานที่นี้สวยงามมากครับ ไปชมภาพกันเลยครับ ผมกับเพื่อนใช้เวลาเที่ยวประมาณ 2-3 ชั่วโมงครับ คือพวกผมนั่งรถมาเที่ยวแค่มัสยิดสีชมพู และก็เดินเล่นถนนใหญ่อีกนิดหน่อยแล้วก็กลับครับ เพราะแดดมันร้อนมากแล้วผมปวดหัวเลยเลยคิดว่ากลับดีกว่าครับ หลังจากที่กลับมาจากปุตราจายา ก็ไม่คิดอะไรมาครับ คิดอย่างเดียวคือเดินห้าง เดินในที่ที่มีแอร์ เลยไปเดินแถวกลางเมือง ซึ่งก็หนีไม่พ้นแถว ๆ ตึกปิโตนัสอีกรอบครับ รอบนี้ผมนั่งอยู่นานมาก เพราะแดดมันตกแล้ว เลยนั่งคุยกัน เปิดอกกับเพื่อนสนิท ผมว่ามันก็เป็นความรู้สึกที่ดีไปอีกแบบนะครับ เพราะว่าหลายทริปที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยว เราจะเที่ยวแบบรีบ ๆ เพราะกลัวจะเก็บไม่หมด แต่พอเที่ยวมาเลเซียรอบนี้มาแบบสโลไลฟ์ของจริง ส่วนตัวก็เลยคิดว่ามันก็ให้ความรู้สึกดีขึ้นมาอีกแบบครับ นี่คือวันสุดท้ายที่อยู่ที่กัวลาลัมเปอร์ครับ บ้านเมืองที่มาเลเซียก็ดูไม่ได้เลวร้ายอะไรนะครับ อารมณ์ก็ไม่ต่างจากกรุงเทพบ้านเรา ดูปลอดภัยกว่าที่ผมคิดไว้ครับ ผู้คนที่นั่นถ้าเห็นเราเป็นนักท่อง้ที่ยว เขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือครับ แต่ผมติดอยู่อย่างครับ คือผมโดนทักว่าเป็นคนจีนเยอะมาก เท่าที่ผมเข้าใจในมาเลเซียเชื้อสายจีนก็เยอะ น่าจะเป็นเหตุผลที่ผมโดนทักบ่อย การเที่ยวของผมอาจจะไม่มีอะไรมากที่มาเลเซีย เท่าที่ผมบอกไปว่าสถานที่ท่องเที่ยวเราก็ไปเหมือนที่คนอื่น ๆ ไป แค่ตรงปุตราจายานั้นผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่ค่อยรู้จักครับ จึงอยากจะมาแชร์ประสบการณืของตัวเองที่ได้ไปเที่ยว อีกอย่างอย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ตอนต้น ๆ ว่าการเที่ยวของผมมันค่อยจะมีแผน หรือแพลน และไม่มีการกำหนดเวลาตายตัว ผมจึงถือว่าเป็นการเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่งครับ จึงอยากจะบอกกล่าวและเปิดประสบการณ์กับเพื่อน ๆ ที่ได้อ่านตรงนี้ว่า ถ้ามีโอกาสบวกกับมีเวลาพอ ลองไปเที่ยวแบบไม่ต้องคิดอะไรมากดูครับ ไม่ต้องเเพลนมาก ไม่ต้องฟิคเวลามาก ไปตัดสินใจเอาข้างหน้าเป็นส่วนใหญ่ ไปแบบสโลไลฟ์ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าไม่ต้องเตรียมอะไรไปเลยนะครับ ถ้าทำแบบที่ผมว่าได้ผมว่าเพื่อน ๆ น่าจะได้ความรู้สึกที่ไปเที่ยวเหมือนกับผมครับ อาจจะไม่ได้เก็บสถานที่ท่องเที่ยวครบ หรือไปหลายที่ แต่ความรู้สึกในการเที่ยวนั้นต่างกันมากครับ แต่มันก็ึ้นอยู่แต่ละบุคคลครับ ผมเเค่เป็นเพียงนักเขียนบอกผ่านประสบการณืของผมแค่นั้นครับ สุดท้ายนี้ผมหวังว่าบทความจะเป็นประโยชน์ต่อคนที่คิดจะเที่ยวในรูปแบบใหม่ ๆ นะครับ ที่ต่างจากการนั่งเครื่องไปเที่ยว แล้วนั่งเครื่องกลับ ถ้ามีเวลาพอก็ลองเที่ยวแบบนี้ได้นะครับ และผมขอขอบคุณทุกคนที่อ่านกันจนจบนะครับ หากใครมีข้อมูลหรืออยากแชร์ประสบการณ์เที่ยวของตนเองแบบผมก็สามารถมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ครับ สำหรับวันนี้ขอบคุณและสวัสดีครับ ขอบคุณ ภาพหน้าปก ภาพทั้งหมดมาจากนักเขียน ปีกแมลงไหม