เที่ยวเกาะสีชัง ในแบบฉบับคนประหยัด 3 วัน 2 คืน เกาะสีชัง มีอะไรดี!? วันหยุดยาวใครที่ยังไม่รู้จะไปที่ไหนดี เราอยากแนะนำให้ลองไปเกาะสีชังกันดู เป็นเกาะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ฮีลใจได้ดีมากก เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยๆหลายที่ และกำลังเป็นกระแสแรงมากๆในตอนนี้ มีทั้งคาเฟ่ ร้านอาหาร ชายหาด วัด และจุดถ่ายรูปที่สวยคุ้มค่าแก่การมา ใครที่ชอบเชคอิน ชอบถ่ายรูปแนะนำว่าต้องมา 1. แหลมจักพงษ์ อยากหาที่พักใจใกล้กรุงเทพฯ ต้องมาที่ หาดแหลมจักรพงษ์ หรือ แหลมถ้ำพัง เป็นแหลมที่มีโขดหินยาวสวย บนเกาะสีชัง บรรยากาศสงบ น้ำทะเลใส ลมเย็น ๆ เหมาะทั้งนั่งเล่นชิล ๆ หรือชมพระอาทิตย์ตก สายถ่ายรูปต้องไม่พลาด ถ้าอยากได้ภาพสวย ๆ แบบคนไม่พลุกพล่าน แนะนำมาตอนเช้าๆ ประมาณ 07.00–08.00 น. บอกเลยว่าคนยังไม่เยอะ ไม่ต้องต่อคิวหามุมถ่ายรูป ได้บรรยากาศเงียบสงบ ฟีลธรรมชาติสุดๆ ถ้าใครอยากมาดูหรือถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกจะได้อีกฟิลที่สวยมากๆเช่นกัน แต่คนจะเยอะต้องรีบมาต่อคิว สามารถขับรถมอไซค์ตามตามป้ายทางบอกจากถนนหรือถ้าใครที่ขับรถไม่เป็นสามารถเรียกรถสามล้อ ให้ไปส่งที่แหลมถ้ำพังได้ค่ะ 2. หาดถ้ำพัง หาดถ้ำพัง เกาะสีชัง อีกหนึ่งมุมลับของเกาะสีชังที่บรรยากาศดีเกินคาด! ที่นี่เงียบสงบ น้ำใส ของกินเพียบ และมีที่นั่งริมหาดไว้ชมวิวสวยๆ เล่นน้ำได้ทั้งวันเลย เหมาะกับทั้งสายพักผ่อนและสายถ่ายรูป โดยเฉพาะช่วง พระอาทิตย์ตก ฟีลโรแมนติกสุดๆ แสงสวย ท้องฟ้าแต่งแต้มสีทอง–ส้ม ได้ช็อตปังแน่นอน แถมหาดถ้ำพังอยู่ ใกล้แหลมจักรพงษ์ เดินทางง่ายจากท่าเรือเกาะสีชัง จะเช่ามอเตอร์ไซค์ขับเองหรือเหมาสามล้อก็สะดวก นอกจากเดินเล่นริมชายหาด ยังมี เรือคายักของลุงโอราคาไม่แพง แค่200บาท สามารถพายเล่นได้ทั้งวัน เราจะนั่งถ่ายรูปเก๋ๆ หรือจะพายออกไปชมวิวรอบเกาะก็ได้อีกด้วย 3. ศูนย์เรียนรู้ธนาคารสัตว์ทะเล เกาะสีชัง เกาะสีชังไม่ได้มีแค่ทะเลใส แต่มี ศูนย์เรียนรู้ธนาคารสัตว์ทะเล ที่นี่! ศูนย์เรียนรู้แห่งนี้เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่และผู้สนใจ ได้เข้ามาเรียนรู้เรื่องระบบนิเวศชายฝั่ง การฟื้นฟูแนวปะการัง และวิธีปลูกสัตว์ทะเลกลับคืนสู่ธรรมชาติ แบบที่จับต้องได้จริง ได้ทำความรู้จักกับสัตว์ทะเลที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เรียนรู้เทคนิคการปลูกปะการัง ฟังวิทยากรตัวจริง มีส่วนร่วม ร่วมมือกับชุมชนและนักอนุรักษ์ โดยเราสามารถเข้าชมได้ฟรี เปิดตั้งแต่9:00-16:00 เท่านั้นน๊า 4. ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เกาะสีชัง อีกหนึ่งแลนด์มาร์กศรัทธาและจุดชมวิวชื่อดังของเกาะสีชัง ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง สามารถมองเห็นวิวทะเลสวยกว้างไกล บรรยากาศเงียบสงบแต่เต็มไปด้วยความขลัง เหมาะทั้งมาสักการะและชมทิวทัศน์เปิดตั้งแต่08:00-20:00 เมื่อมาถึงเราจะพบศาลเจ้าแม่กวนอิม อยู่ด้านล่าง จากนั้นสามารถขึ้นไปไหว้พระขอพรด้านบนได้อีกโดย เราสามารถนั่งรถรางฟรีขึ้นไปได้ มีบริการเป็นรอบๆมีทั้งขึ้นและลง พร้อมมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำตลอดทาง หรือถ้าใครชอบเดิน ก็สามารถเดินขึ้น-ลงบรรได เอาฟิลได้ อาจจะร้อนหน่อย ยิ่งช่วงเที่ยง-บ่ายแดดจะร้อนสุดๆ มาก และสามารถขับรถไปศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ตามป้ายบอกได้ไม่ต้องกลัวหลงเลย 5. อบอวนหมูกระทะ อบอวลหมูกระทะ สายกินต้องห้ามพลาด ร้านเปิด 16:00–21:30 มี 2 สาขาให้เลือก • สาขาสควิดโฮม อยู่ติดถนน เดินทางง่ายสุดๆ • สาขาเยลโล่เฮ้าท์ ได้ฟีลนั่งชิลริมทะเล ชั้น 2 คือวิวพระอาทิตย์ตกสวยมาก (ถ้าอยากไปนั่งกินชมวิวช่วงเย็นแนะนำโทรจองก่อนนะ เดี๋ยวที่เต็ม) น้ำจิ้มคือเด็ด ขายเป็นชุด ราคาก็ไม่แรง กินเพลินๆ ได้บรรยากาศไปอีก แต่ถ้าไปดึกๆ อาจจะวังเวงหน่อยเพราะทางเปลี่ยว แถมต้องผ่านวัดด้วย 😂 หากใครกำลังมองหาทริปสั้น ๆ เดินทางง่าย ๆ จากกรุงเทพฯ “เกาะสีชัง” ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจมาก เพราะทั้งค่าเดินทางไม่แพง บรรยากาศเงียบสงบ และยังเต็มไปด้วยที่เที่ยวและอาหารอร่อยเราเริ่มต้นการเดินทางจากสถานีรถไฟพระจอมเกล้า รอบเช้าเวลา 08:10 น. ตั๋วราคาเพียง 20 บาท ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงสถานีเขาพระบาทในเวลา 10:06 น. (ขอบอกเลยว่ารถไฟสายนี้มีแค่รอบเดียวในตอนเช้านะ ใครจะไปต้องวางแผนให้ดี) เมื่อถึงสถานี ก็จะมีรถสองแถวมารอรับไปยัง ท่าเรือเกาะลอย ค่ารถประมาณ 40 บาทต่อคน จากนั้นต้องซื้อตั๋วเรือข้ามไปเกาะสีชัง ซึ่งมีรอบออกทุก 1 ชั่วโมง ราคาเพียง 60 บาทต่อคน (รับเฉพาะเงินสด) ใช้เวลาเดินเรือราว 40–45 นาที ก็มาถึงเกาะ บนเกาะสีชัง การเดินทางหลัก ๆ จะใช้มอเตอร์ไซค์ ซึ่งมีให้เช่าที่ท่าเรือ ราคาอยู่ที่ 250–300 บาท พร้อมน้ำมันฟรี แต่ทริปนี้เราเลือกพักที่ที่พักซึ่งมีบริการมอเตอร์ไซค์ให้ในตัวแล้ว สะดวกมาก ๆ โดยราคาที่พักพร้อมมอไซค์เพียง 1,300 บาทต่อวัน เรื่องอาหารการกินก็หายห่วง เพราะเกาะสีชังมีร้านอาหารทะเลสด ๆ และของกินพื้นบ้านเพียบ รอบนี้เราหมดไปประมาณ 3,000–4,000 บาท เพราะแวะกินหลายร้าน แถมเที่ยวหลายจุด เรียกว่าอิ่มทั้งท้องและอิ่มบรรยากาศ ในวันกลับ ที่พักมีบริการส่งเราที่ท่าเรือ จากนั้นซื้อตั๋วเรือกลับเข้าฝั่งอีกครั้ง คนละ 60 บาท ถึงฝั่งเกาะลอยแล้ว หากใครของไม่เยอะ สามารถนั่งสองแถวกลับไปยังสถานีเขาพระบาทได้ในราคา 40 บาท เช่นเดิม แต่ถ้าใครมีสัมภาระเยอะอย่างเรา อาจเลือกเรียกโบ๊ทแท็กซี่ ราคาอยู่ที่ประมาณ 100 กว่าบาท ก็สะดวกกว่า สำหรับรถไฟขากลับ มีเพียงรอบเดียวเช่นกัน คือเวลา 15:01 น. ถึงสถานีพระจอมเกล้าเวลา 17:08 น. ค่าโดยสารยังคงเพียง 20 บาท เท่าเดิม แต่ต้องบอกก่อนว่าอากาศระหว่างนั่งรถไฟค่อนข้างร้อน แนะนำให้พกพัดหรือพัดลมเล็ก ๆ ติดตัวไปด้วย จะช่วยให้การเดินทางสบายขึ้นมาก อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !