รีเซต

ประวัติ วาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ เทศกาลแห่งความรัก ทำไมต้องช็อกโกแลต?

ประวัติ วาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ เทศกาลแห่งความรัก ทำไมต้องช็อกโกแลต?
แมวหง่าว
6 กุมภาพันธ์ 2566 ( 10:32 )
8K

     วนมาอีกครั้งสำหรับเทศกาลแห่งความรัก วาเลนไทน์ ช่วงนี้ไปไหนมาไหนก็จะเห็นใครๆ เดินถือดอกไม้ และกล่องขนมที่ตกแต่งด้วยโทนสีแดง และชมพู นำไปมอบให้คนรัก คนที่แอบชอบ ไปจนถึงเพื่อนร่วมงานเพื่อเป็นการแสดงไมตรีต่อกัน (ถึงจริงๆ อาจจะไม่ได้รักกันขนาดนั้นก็ได้ ฮ่า) แต่สงสัยกันไหมครับว่าทำไมของขวัญยอดฮิตตามธรรมเนียมถึงต้องเป็น ช็อคโกแลต ด้วย วันนี้ไปหาคำตอบไปพร้อมๆ กันเลย และมาดู ประวัติวันวาเลนไทน์ กันตามนี้ได้เลย

 

ประวัติ วันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์

 

นักบุญ วาเลนตินัส วาเลนไทน์

 

     ย้อนกลับไปที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี ในช่วงศตวรรษที่ 3 แห่งโรมัน ซึ่งตรงกับช่วงสมัย จักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 พระองค์คิดว่า ความรักคือ ความลุ่มหลง คือการหลอกลวง และเห็นว่าในบรรดาเหล่าทหารของพระองค์ ถ้าเกิดความรัก หรือเกิดการแต่งงาน ก็มักไม่อยากจากคนรักหรือครอบครัว ทำให้ไม่สมัครไปรบ ส่งผลให้กองทหารอ่อนแอลง ในขณะที่กลุ่มทหารที่ไม่มีครอบครัว ไม่มีความรัก มักจะมีประสิทธิภาพการรบดีเยี่ยมและมีจิตใจแข็งแกร่ง พระองค์จึงประกาศกฎหมายออกมาว่า หากห้ามชาวโรมันแต่งงานกัน ถ้าแต่งงานกันจะมีบทลงโทษที่รุนแรงถึงขั้นประหาร

 

     มีนักบวชคนหนึ่งนามว่า “วาเลนตินัส” ไม่เห็นด้วยกับกฎข้อนี้ของจักรพรรดิและมองว่าความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นพรที่พระเจ้าได้ประทานมาให้เขา วาเลนตินัสจึงยอมช่วยประกอบพิธีแต่งงานตามศาสนาแบบลับๆ แก่คู่รักที่อยากแต่งงานทั้งหลาย ทำให้คู่รักโรมันพากันฝ่าฝืนข้อห้าม แม้ว่าจะได้รับโทษถึงขั้นประหารชีวิตก็ตาม ในที่สุดเมื่อความลับรั่วไหล หลวงพ่อวาเลนตินัสก็ถูกจับและถูกนำตัวไปคุมขังรอการประหาร

 

     ระหว่างที่วาเลนตินัส ถูกขังอยู่ในคุกนั้นข่าวคราวของเขาดังกระฉ่อนไปทั่วโรมหนุ่มสาวชาวโรมันจำนวนมากเดินทางมาเยี่ยมเขาถึงห้องขังพร้อมกับมอบดอกไม้และให้กำลังใจเขาที่หน้าต่างเพื่อบอกว่าพวกเขาก็เชื่อในความรักเช่นเดียวกัน

 

 

     วันหนึ่งเขาก็ได้พบกับลูกสาวของหัวหน้าผู้คุมห้องขัง เธอตาบอด เธอได้พูดคุยกับเขาและได้ตกหลุมรักเขา แล้วไม่นานนักก็เกิดความอัศจรรย์อีกครั้ง เมื่อวาเลนตินัส ได้ช่วยให้เธอมองเห็นอีกครั้งโดยบอกว่าเป็นพลังความรักจากพระเจ้า ผู้คนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็แปลกใจและได้รับเชื่อในพระเจ้า จนในที่สุดในคุกนั้นต่างก็กลายเป็นชาวคริสเตียนเสียหมด

 

     เรื่องนี้ได้ไปเข้าหูของจักรพรรดิคลอดิอุส พระองค์กริ้วมากจึงรับสั่งให้ประหารชีวิตวาเลนตินัสทันที และพระองค์ยังได้สั่งให้ทุบตีและทรมานพวกที่นับถือศาสนาคริสต์อีกด้วย

 

     วันที่วาเลนตินัส ถูกประหารชีวิตนั้นตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.269 ก่อนตายเขาเขียนโน้ตถึงเธอเพื่อขอบคุณสำหรับมิตรภาพและความภักดีที่เธอมีให้เขา พร้อมทั้งลงท้ายว่า ‘Love from your Valentine’

 

     หลังจากวันที่วาเลนตินัสถูกประหารชีวิตแล้ว ชาวคริสเตียนและชาวโรมันจำนวนมากได้เกิดความโกรธแค้น จึงพากันโค่นล้มจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 แล้วพระองค์ก็พ่ายแพ้ไป ชาวคริสเตียนทั้งหลายก็ได้ถือเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันวาเลนไทน์ เป็นวันที่รำลึกถึงความรักอันมั่นคงของนักบุญวาเลนตินัสจนถึงปัจจุบัน

 

วันวาเลนไทน์ ทำไมต้องให้ช็อกโกแลต?

 

 

     และที่มาของตำนานแห่งความเสียสละนี้ ได้มาบวกกันขนมแสนอร่อยอย่าง “ช็อคโกแลต” ก็เพราะในยุคที่คู่รักยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะเกรงกลัวอำนาจจักรพรรดิ์ ก็มักจะทำได้เพียงลักลอบฝากของขวัญของกำนัลแทนใจ เพราะการเล็ดลอดพบปะกันเป็นความเสี่ยงอย่างมาก ประกอบกับช็อกโกแลตเป็นของหายาก เป็นของราคาแพง มันจึงกลายมาเป็นของขวัญที่มีความหมายมากมาย และเหมาะที่จะเป็นของกำนัลถึงคนรัก จึงเกิดเป็นธรรมเนียมการส่งช็อกโกแลตแทนความในใจนั่นเอง

 

     นอกจากนี้ยังมีการสันนิษฐานกันด้วยว่า ช็อกโกแลตนั้น ถือเป็น “ยาโป๊ว” แบบฉบับตะวันตก เพราะว่ากันว่านักรักชื่อกระฉ่อนโลกอย่าง จิอาโคโม คาสซาโนวา (1725-1795) ผู้ที่ชื่อของเขากลายมาเป็นคำศัพท์ที่แปลว่า “นักรัก” นั้น ก็กินช็อกโกแลตก่อนขึ้นเตียงกับบรรดาสาวๆ ของเขาตลอดชีวิตอันโลดโผนของเขาด้วย และเพิ่มเติมด้วยตำนานสเปนที่บอกต่อๆ กันมาว่า นักรบสเปนผู้เกรียงไกรนาม “มองเตชูมา” ก็มักจะดื่มช็อกโกแลตเป็นประจำเสมอ ก่อนไปหาเหล่าสาวๆในฮาเร็มของเขา ด้วยเชื่อกันว่าช็อกโกแลตเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์วาบหวามครับ

 

     ก็เมื่อก่อนทั้งหายาก ราคาแพง ถือเป็นเครื่องดื่มไฮโซประจำราชสำนักฝั่งตะวันตกของหลายๆ ประเทศ แถมเป็นเครื่องดื่มกระตุ้นอารมณ์รักใคร่เสียขนาดนี้ “ช็อกโกแลต” ก็จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักและวันแห่งความรักไปโดยปริยาย

 

====================