ทุกอย่างในจักรวาล เดินทางเป็นวงกลม... วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปล่องเรือกับน้องชายและกลุ่มเพื่อนของพวกเรา รวม ๆ กันแล้วก็ 20 คนพอดี โชคดีที่พวกเราอยู่ในเมืองที่มีทะเลล้อมรอบ นึกอยากจะไปแช่น้ำเค็มเมื่อไหร่ก็ทำได้ดั่งใจ และยิ่งโชคดีไปกว่านั้น คือเพื่อนของเราคนหนึ่งทำกิจการเรือให้เช่า ดังนั้น การนัดแนะและเตรียมการจึงเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่นาน สองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เฟสบุ๊คของพวกเราดึงเอารูปเก่า ๆ ที่พวกเราเคยมาล่องเรือกันเมื่อปีที่แล้ว แจ้งเตือนเพื่อกระตุ้นต่อมคิดถึงของพวกเราให้มันอักเสบขึ้นมา และก็เป็นเช่นเดียวกันกับทุกคนในกลุ่ม เหมือนโรคระบาด การนัดแนะจึงเกิดขึ้นทันทีเมื่อมีใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า "อยากไปอีก" . การออกเรือครั้งนี้ของพวกเรา เรียบง่ายเหมือนว่าพวกเราทำทัวร์กันเป็นอาชีพ ใครอยากกินอะไรก็เตรียมมา ทั้งอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ทุกคนพร้อมใจกันหอบหิ้วมาเหมือนมีงานเลี้ยงรับขวัญใครสักคน อากาศในช่วงต้นหนาวแบบนี้ ยิ่งเป็นใจให้ทุกอย่างมันราบรื่นขึ้นไปอีก ฟ้าก็ฟ้าสมชื่อ น้ำทะเลก็ใสเสียจนเห็นรอยยิ้มของปลาทุกตัวที่แหวกว่ายอยู่ข้างใต้ ลมพัดโกรกกำลังดีจนเหมือนจะได้ยินเสียงเพลงลอยมาด้วย คลื่นทะเลราบเรียบราวกับแล่นเรือไปบนลานสเก็ตน้ำแข็ง เพื่อนคนที่เมาเรือที่สุดของเรา ยังหัวเราะได้อย่างปกติสุข โฆษณานิดนึงว่าเรามากับเรือ catamaran ของ 7 marine ออกเดินทางจากท่าเรืออ่าวฉลอง พวกเราก้าวขึ้นเรือก็ตอนประมาณบ่าย 2 กว่า ๆ กัปตันพาเรือแล่นออกจากท่าไปช้า ๆ ในขณะที่พวกเราเริ่มหามุมถ่ายภาพกันตามอัธยาสัย บ้างก็หยิบขนมขึ้นมาแกะ ส่งต่อ ๆ กันไป บ้างก็จัดแจงหาเครื่องดื่มมาเสิรฟ . เรือแล่นเลาะไปตามเกาะแก่งต่าง ๆ อย่างเชื่องช้า ตรงนี้เอง ที่ทำให้ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัวว่า เมื่อก่อนนี้ เราใช้เรือเป็นพาหนะในการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ความสุขอยู่ตรงที่การไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย แต่ในวันนี้ ความสุขเกิดขึ้นระหว่างทาง ในช่วงเวลาที่เราอยู่บนเรือที่แล่นไปในทะเลอย่างช้า ๆ ไม่สนด้วยซ้ำว่าจุดหมายปลายทางอยู่ที่ใด และเวลาจะผ่านไปช้าหรือเร็วแค่ไหน เรามีความสุขอย่างไม่มีเป้าหมาย . ผมนึกถึงเรื่องของสะพานวงกลมที่เคยได้อ่านมา ว่ามีชายคนหนึ่งสร้างสะพานไม้ที่ทอดตัวไปในบึงน้ำเหมือนสะพานทั่ว ๆ ไป ต่างตรงที่สะพานไม้นั้นไม่ได้พาเราข้ามไปอีกฝั่ง แต่ทว่ามันพาเราวนกลับมาที่จุดเริ่มต้นตรงที่เดิม เค้าให้เหตุผลว่า บางทีเราไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายในการออกเดินก็ได้ เส้นทางเดินนั้นอาจทำหน้าที่พาเราออกไปสัมผัสบางสิ่งบางอย่างแล้วพาเรากลับมาที่เดิม ก็ไม่เชิงว่าเสียเวลาเปล่า หากในระว่างทางนั้นเราจะได้ใช้เวลาพูดคุยกับตัวเองบ้างสักประโยคสองประโยค กาลเวลาเปลี่ยนไป ความต้องการของคนเราก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน จากที่เคยเสียเงินเป็นค่าเดินทาง เรากลับยอมจ่ายเพื่อให้ได้หมุนวนอยู่กับที่ แม้ผมจะตัดสินไม่ได้ในทันทีว่า การจ่ายแบบไหนให้ความคุ้มค่ามากกว่ากัน . แต่เมื่อลองมองย้อนกลับมาในชีวิตจริง เราออกจากบ้านในตอนเช้า ไปทำงานและพบปะผู้คนมากมาย ก่อนจะวนกลับเข้ามาบ้านในช่วงเย็น เฉกเช่นการเดินบนสะพานวงกลม หรืออยู่บนเรือที่พาเราออกทะเลไปในวันนั้น โดยที่เราไม่ต้องจ่ายเงินเป็นค่าโดยสารอะไรเลย ก็คงจะเสียโอกาสไม่น้อยหากเราไม่สามารถเก็บเกี่ยวความสุขระหว่างทางกลับมาได้บ้าง หรือแม้กระทั้งหาเวลาได้พูดคุยกับตัวเองสักประโยคสองประโยคก็ยังดี . ตอนล่องเรือกลับ เราสองคนพี่น้องได้มีโอกาสเปิดเพลง "a rocket to the moon" ฟังไปพร้อมกับเพื่อน ๆ ในขณะที่ปล่อยให้เรือไหลไปช้า ๆ ท่ามกลางแสงของวันที่ค่อย ๆ มืดลงอย่างที่เคยได้จินตนาการกันไว้ก่อนหน้านี้ตอนฟังเพลง บอกเลยว่าเป็นความคุ้มค่าที่คงหาไม่ได้ง่าย ๆ อีกแล้ว ยิ่งตอกย้ำให้เราเข้าใจว่า ถึงแม้ความสำเร็จจะวัดกันที่เป้าหมายก็จริง แต่ว่าความสุขดี ๆ ก็หาได้ไม่ยากในระหว่างทางเช่นกัน -พี่ชาย(ไม่ค่อยชาย)- #lovingcritic ภาพประกอบ พี่ถ่ายเองจ้า ลงเล่นน้ำกลางทาง image widget