หลายคนคงเคยรู้สึกว่า กรุงเทพฯ เหมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่หมุนไปอย่างไม่หยุด ทุกคนต่างรีบเร่งเดินทางไปทำงาน ฝ่ารถติด และใช้ชีวิตตามตารางเวลาที่แน่นขนัด จนบางครั้งลืมหันมาฟังเสียงหัวใจของตัวเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้ ฉันตัดสินใจเก็บกระเป๋าใบเล็ก ใส่เสื้อกันหนาวที่คิดว่าคงได้ใช้ และขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังแม่ฮ่องสอน จุดหมายปลายทางคือ “ห้วยกุ๊บกั๊บ” หมู่บ้านเล็ก ๆ กลางหุบเขาที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่ท่องเที่ยวของนักเดินทางส่วนใหญ่ แต่กลับเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนที่หลงรักความสงบและวิถีชีวิตเรียบง่าย การเดินทางไปห้วยกุ๊บกั๊บไม่ได้ง่ายดายนัก ต้องนั่งรถจากตัวเมืองปาย ใช้ถนนคดเคี้ยวขึ้นลงตามสันเขา และสุดท้ายต้องนั่งรถกระบะสี่ล้อไต่ทางดินเล็ก ๆ เข้าไปในหมู่บ้าน แต่ทุกความลำบากบนเส้นทางกลับคุ้มค่าเมื่อได้เห็นภาพหมอกสีขาวคลอเคลียไปตามยอดไม้ และแสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดช่องเขา เหมือนโลกกำลังพาฉันค่อย ๆ หลุดออกจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ทีละนิด ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าสู่เขตหมู่บ้านห้วยกุ๊บกั๊บ ภาพแรกที่เห็นคือกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็ก ๆ เรียงรายบนเนินเขา เสียงไก่ขันและหมาเห่าทักทายเหมือนรู้ว่ามีแขกมาเยือน ที่นี่เป็นหมู่บ้านของชาวปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) ที่ยังคงรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมไว้ได้อย่างน่าชื่นชม ไม่มีป้ายโฆษณา ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ดังรบกวน มีเพียงเสียงลมพัดผ่านใบไผ่ เสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่น และเสียงหัวเราะที่เป็นธรรมชาติกว่าที่เคยได้ยินในเมืองใหญ่ โฮมสเตย์ที่ฉันพักเป็นกระท่อมไม้ไผ่ยกพื้น มีฟูกปูด้วยผ้าห่มหนานุ่ม และประตูบานเล็กที่เปิดออกไปเห็นวิวหุบเขากว้างสุดตา ตอนกลางวันชาวบ้านจะออกไปทำไร่ ปลูกข้าว ปลูกผัก บางคนเลี้ยงหมูและไก่ ส่วนตอนเย็น ๆ จะรวมตัวกันทำอาหารด้วยเตาฟืน กลิ่นควันหอมผสมกับกลิ่นเครื่องเทศพื้นบ้านทำให้บรรยากาศอบอุ่นราวกับได้กลับบ้านต่างจังหวัดในวัยเด็ก ความเรียบง่ายเหล่านี้ไม่ได้แค่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ยังทำให้หัวใจอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด ห้วยกุ๊บกั๊บในตอนเช้าช่างเป็นภาพที่น่าจดจำอย่างไม่มีวันลืม ฉันตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพราะได้ยินเสียงไก่ขันและเสียงหมอก (ใช่ค่ะ เสียงหมอกเวลาลมพัดกระทบใบไผ่ก็เหมือนมีเสียงกระซิบเบา ๆ) อากาศเย็นจนมองเห็นไอน้ำหายใจลอยออกมา พอเปิดประตูออกไปก็พบว่าหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถูกห่มด้วยผ้าห่มหมอกสีขาวนวลที่หนาจนเหมือนเดินอยู่ในความฝัน ฉันนั่งลงที่ระเบียงไม้ไผ่ จิบกาแฟร้อนที่เจ้าของโฮมสเตย์คั่วเองจากเมล็ดกาแฟบนดอย กลิ่นหอมกรุ่นผสมกับอากาศเย็นและวิวภูเขาซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ราวกับภาพวาดจากศิลปินมือเอก แสงแดดแรกของวันค่อย ๆ แหวกม่านหมอกเผยให้เห็นต้นไม้สีเขียวชอุ่ม เสียงไก่ เสียงนก และเสียงลำธารไหลเบา ๆ ทำให้ความเงียบนี้ไม่ใช่ความว่างเปล่า แต่เป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยชีวิต ฉันพบว่าตัวเองนั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นนานเกือบชั่วโมง โดยไม่รู้สึกอยากหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเลยแม้แต่น้อย หลายคนอาจคิดว่าการเดินทางมาห้วยกุ๊บกั๊บเป็นเพียงการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ แต่สำหรับฉันมันเป็นการเดินทางเพื่อกลับมาฟังเสียงหัวใจของตัวเองอีกครั้ง ที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือให้ไถหน้าจอเล่น ไม่มีห้างสรรพสินค้าให้เดินซื้อของ และไม่มีตารางเวลาที่ต้องเร่งรีบ สิ่งเดียวที่มีคือช่วงเวลาปัจจุบัน และผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความสุข การได้ใช้เวลาพูดคุยกับชาวบ้าน ฟังเรื่องราวของพวกเขา และเรียนรู้วิธีการดำเนินชีวิตที่พึ่งพาธรรมชาติ ทำให้ฉันตระหนักว่าหลายสิ่งที่เราเคยคิดว่าจำเป็น อาจเป็นเพียงสิ่งที่เราถูกสังคมบอกว่าจำเป็นเท่านั้น การได้อยู่ในที่ที่ทุกอย่างช้าลง ไม่เพียงทำให้ร่างกายได้พักผ่อน แต่ยังทำให้จิตใจได้ฟื้นฟู ฉันกลับจากห้วยกุ๊บกั๊บพร้อมความรู้สึกว่า ชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องหรูหรา แค่ได้หายใจเต็มปอด เห็นวิวภูเขา และได้หัวเราะอย่างจริงใจ นั่นก็เพียงพอแล้ว สถานที่แห่งนี้ คือ ห้วยกุ๊บกั๊บ จังหวัดเชียงใหม่ สถานที่พัก อานาลาหู่ ม่อนกุ๊บกั๊บ ทุกภาพประกอบโดยผู้เขียน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !