เที่ยวเมืองรอง ! พิษณุโลก 3 วัน 2 คืน ล่องแก่งลำน้ำเข็ก ชมอุทยานภูหินร่องกล้า หน้าฝน ไหว้พระพุทธชินราช
การเดินทางไม่เคยมีคำว่าสิ้นสุด ดังนั้นเราจึงต้องแบกเป้ สะพายกล้อง ออกไปเที่ยวอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้เดินทางไปไหนไกลเลยครับ เราจะพาทุกคนไปสัมผัส เมืองรอง กันที่จังหวัด พิษณุโลก 3 วัน 2 คืน บอกเลยทริป เที่ยวหน้าฝน ครั้งนี้ไม่กลัวเหงา ไม่กลัวเปียก และไม่กลัวหมอกอย่างแน่นอน ถ้าพร้อมแล้วก็เก็บกระเป๋าตามเราไปเที่ยวกันเลย
ขอเกริ่นก่อนว่า จังหวัดพิษณุโลก ตั้งอยู่บริเวณภาคกลางตอนบนของประเทศไทย บางคนจะเรียกจังหวัดนี้ว่าเมืองสองแคว มีสถานที่สวยงามทางวัฒนธรรม และธรรมชาติมากมาย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความสงบครับ
แน่นอนว่าแพลนของเราในการมาเที่ยวพิษณุโลกเดือนกรกฎาคม หรือในช่วงหน้าฝนครั้งนี้ คือ กิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็ก และขึ้นเขาไปชมธรรมชาติ สัมผัสบรรยากาศแบบกรีนโซน ฟีลเขียวชะอุ่ม กันบนภูหินร่องกล้า และปิดท้ายไปด้วยการนั่งรถรางชมเมืองเก่า ไหว้พระพุทธชินราช แค่คิดก็สนุกแล้วล่ะ เนอะ
เนื่องจากมันเป็นครั้งแรกของเรา ก็จะรู้สึกตื่นเต้น ขาดสติอยู่หน่อยๆ รู้สึกตัวอีกที ตัวเองก็มาเหยียบสนามบินพิษณุโลกแล้วล่ะครับ การเดินทางในทริปนี้ เราได้เลือกเดินทางโดยสายการบิน Airasia ไฟล์ท 08.10 น. จากสนามบินดอนเมือง ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการบิน บอกเลยว่าสะดวกสบายมากๆ
สนามบินพิษณุโลกมีบริการรถแท็กซี่เข้าเมือง หรือรถเช่าให้เราได้เลือกกันมากมาย แต่เนื่องจากทริปนี้เราได้เดินทางมากับ Greenwave 106.5 FM จึงไม่ต้องเสียเวลาในการหารถเช่าแต่อย่างใด เพราะเขาได้จัดรถตู้ส่วนตัวมารับถึงสนามบิน สบายจริงจริ๊งงงง
กิจกรรมในวันนี้เราขอจัดเต็มกับไฮไลท์ เที่ยวหน้าฝน พิษณุโลก อย่าง กิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็ก เลยล่ะกัน โอ๊ยยย จากที่หาข้อมูลมาเยอะพอสมควร จึงได้ทราบว่าลำน้ำเข็ก คือจุดล่องแก่งที่ฮิต และโหดที่สุดในประเทศไทยแล้วล่ะครับ แถมจะต้องมาในช่วงหน้าฝนด้วยนะ เพราะยิ่งระดับน้ำในแก่งมาก ก็จะยิ่งสนุกมากขึ้นอีกด้วย
แต่ด้วยคอนเซ็ปต์ของเราที่บอกกันไปในทุกๆ ทริปว่า "กองทัพต้องเดินด้วยท้อง" ระหว่างทางไปล่องแก่ง เราจึงได้แวะทานอาหารกันที่ ร้านอาหารมาเดอเออ ภูธารา กันก่อน เมนูเด็ดประจำร้าน อย่างเมนูไก่ทอดซอสน้ำแดง และเมนูน้ำพริกกะปิ ผักสด ก็น่าสนใจ และควรสั่งมาลอง
สำหรับเราแล้ว รสชาติโดยรวมของอาหารที่ร้านนี้อร่อยเลยทีเดียวครับ รวมไปถึงบรรยากาศร้านก็ร่มรื่น ฟีลธรรมชาติสุดๆ เพราะเนื่องจากอยู่ติดลำน้ำเข็ก
เมื่ออิ่มท้องกันไปแล้ว ก็ได้นั่งรถตู้ไปกันต่อที่ วนธารารีสอร์ท แอนด์ สปา เพื่อเปลี่ยนชุดสำหรับกิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็ก จากนั้นก็ต้องนั่งรถตู้ขึ้นไปต่อจนถึงจุดปล่อยเรือ ที่ อพป.บ้านท่าข้าม ครับ
ระยะทางของการล่องแก่งแม่น้ำเข็กนั้น รวมทั้งสิ้นประมาณ 8 กิโลเมตร มีแก่งทั้งหมด 18 แก่ง โดยเริ่มจากระยะน้ำนิ่ง (ระดับ 1) ไปถึงระยะดับสูง (ระดับ 5) ตามลำดับ แต่เนื่องจากเดือนที่เราไปมีระดับน้ำมากถึง 90% ทางเจ้าหน้าที่จึงตัดจำนวนแก่งออกเหลือเพียง 13 แก่ง เอ๊ะ ! อย่าเพิ่งรีบเฟลจนหมดสนุกไปนะครับ เพราะ 13 แก่งในครั้งนี้ คือไฮไลท์เด็ดทั้งนั้น กรี๊ดดดด
ส่วนถ้าหากใครที่ไม่ได้ล่องไปกับเขาด้วย แต่ต้องการเก็บภาพสีหน้า ท่าทางของเพื่อนๆ ระหว่างล่องแก่ง ก็สามารถมาดักรอตามจุดสำคัญๆ ของแต่ละแก่งได้อีกด้วยนะครับ ซึ่งอย่างที่บอกไปว่าลำน้ำเข็กนั้นขนานไปกับถนนหลวง ใครจะไปดักถ่ายจุดไหนก็ขับไปได้เลย อาจมีบ้างบางจุดที่ต้องออกแรงปีนป่ายตามโขดหินด้วย เผลอๆ เหนื่อยไม่แพ้คนล่องแก่งเลย
ส่วนไฮไลท์แก่งต่างๆ ของที่นี่มีด้วยกันหลายแก่ง แต่เราขอยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟังซัก 3 แก่งล่ะกัน เริ่มต้นที่ แก่งซาง บริเวณนี้กระแสน้ำจะค่อยๆ ลดระดับลงเรื่อยๆ ไม่ต่ำกว่าสิบเมตร แล้วจู่ๆ ลำน้ำจะหักศอกเลี้ยวซ้าย ถ้าไม่เตรียมตัวให้ดีก็มีชนได้เหมือนกัน
ต่อมาคือ แก่งนางคอย ไม่ไกลจากแก่งซางนัก บริเวณนี้นักล่องแก่งจะต้องระมัดระวังกันมากกว่าเดิม เพราะแก่งนางคอยนั้นเต็มไปด้วยโขดหิน และเกาะแก่งต่างๆ ใต้น้ำ บางครั้งกระแสน้ำที่ไหลกระทบชั้นหินแก่งนางคอยอาจมีความสูงได้ถึง 2 เมตรเลยทีเดียว แต่ขอบอกเลยว่ายิ่งสูง ยิ่งเสียว และยิ่งมันส์ ฮ่าๆๆๆๆ
อีกหนึ่งแก่งที่เราขอแนะนำเลยก็คือ แก่งยาว ได้ชื่อนี้เพราะระยะทางยาวประมาณ 100 เมตรนั่นเอง มีจุดที่ลดระดับลาดเอียงเทลงแบบฉับพลัน ใครไม่ตั้งตัวดีๆ หน้าคว่ำแน่นอน แนะนำเลยว่าเมื่อเจ้าหน้าที่บอกให้หยุดพาย จับเชือก ห้ามหลับตาเด็ดขาด ! เพราะความสนุกของแก่งนี้ คือการมองทางตรงข้างหน้า โอ๊ยยย กรี๊ดจนหมดเสียงอ่ะ คิดดูดิ !
ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง สำหรับกิจกรรมล่องแก่งลำน้ำเข็ก ก็ถึงเวลาขึ้นฝั่งไปเปลี่ยนผ้ากันที่ วนธารารีสอร์ท แอนด์ สปา อีกครั้ง จากนั้นก็นอนบนรถตู้กันไปยาวๆ เข้าตัวที่พัก ใจกลางเมืองพิษณุโลก ทริปนี้เราได้ฝากความชิล ทิ้งตัวลงนอนกันที่ ภัทธารา รีสอร์ท แอนด์ สปา กันครับ
บอกเลยว่าที่พักบรรยากาศดี และวิวสวยมากๆ ห้องนอนก็มีขนาดกว้างขวาง มองเห็นวิวริมสระว่ายน้ำอีกด้วย ใครที่มีโอกาสได้ไปพักผ่อนที่นี่ จะต้องได้รูปสวยๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้านไปอย่างแน่นอน
เมื่อเก็บกระเป๋าเข้าที่พัก อาบน้ำ แต่งตัวชิลๆ พร้อมสำหรับมือค่ำ เราก็ออกเดินทางไปกันต่อเลย ที่ร้านอาหารบรรยากาศดีๆ ใจกลางเมืองพิษณุโลก อย่าง ร้านแพภูฟ้าไทย ริมแม่น้ำน่าน จุดเด่นของที่นี่คือเมนูประเภทปลาต่างๆ ให้เราได้เลือกกันมากมาย เริ่มต้นกันที่เมนู ปลาม้าทอดน้ำปลา ชิ้นโต เนื้อปลาม้ามีความสดกรอบนอก ชุ่มฉ่ำด้านใน รสชาติก็มีความเค็มหวานกำลังดี คลุกกับข้าวสวยร้อนๆ หื้มมมม ลงตัวสุด ไรสุด !
อีกหนึ่งเมนูที่เราแนะนำเลยก็คือ เมนู ขาหมูน้ำแดงเห็ดหอม บอกเลยว่าเมนูนี้เอาใจคนรักขาหมูที่แท้ทรู เพราะมันอร่อยมาก เนื้อขาหมูที่ความนุ่ม ละมุนในปาก ไม่แห้งจนเกินไป น้ำจิ้มสามรสที่เสิร์ฟคู่กันมา ก็เข้ากันสุดๆ
เมื่ออิ่มมื้อเย็นกันไปแล้ว มีเหรอที่เราจะกลับห้องพักเลย ? ไม่เด็ดขาด ! ฮ่าๆ เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์พอดี บริเวณริมถนนพุทธบูชา ใกล้กับ วัดจันทร์ตะวันออก จะจัดถนนคนเดินขายเสื้อผ้า ของที่ระลึก รวมไปถึงของกินเล่นมากมาย ให้เราได้เพลิดเพลินกัน แม้จะไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับห้อง แต่อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้สัมผัสวิถีชีวิตของชาวเมืองพิษณุโลกนั่นเองครับ
และแล้วกิจกรรมวันแรกก็จบลงไป แม้ร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยกับกิจกรรมล่องแก่ง แต่เราก็ค่อนข้างประทับใจสุดๆ คิดว่าครั้งหน้าจะต้องกลับไปเล่นอีกอย่างแน่นอน สำหรับคืนนี้ต้องขอตัวนอนไปก่อน เจอกันพรุ่งนี้..ฝันดีครับ :)
DAY 2
ตื่นเช้ามาอย่างสดใส ฟีลหายเหนื่อยจากกิจกรรมล่องแก่งเมื่อวาน อาบน้ำแต่งตัว สวมรองเท้าผ้าใบสำหรับเดินป่า ขึ้นเขา เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันนี้ แหมมมม เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ก็ขอพูดเลยล่ะกันว่าวันนี้เราจะไปเดินป่า ขึ้นเขาชมวิว กันที่ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า กันครับ
แต่ก่อนอื่นเลย ตามคอนเซ็ปต์ของเราก็คือ "กองทัพต้องเดินด้วยท้อง" ดังนั้นเราก็ขอทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรมก่อนเลยล่ะกัน แค่นั่งมองวิวริมสระบัว ของห้องอาหารเช้าที่นี่ ก็รู้สึกดีขึ้นมาแล้วล่ะครับ เพราะมันช่างสวย และสงบมากๆ
เนื่องจาก อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองพิษณุโลกพอสมควร จึงต้องเวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง รู้สึกตัวขึ้นมาอีกที เราก็เห็นภาพหมอกปกคลุมป่าระหว่างทางขึ้นเขา อย่างหนาแน่นแล้วล่ะครับ
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตั้งอยู่บนรอยต่อของ 3 จังหวัด ก็คือ อ.ด่านซ้าย จ.เลย / อ.นครไทย จ.พิษณุโลก และ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ แถมยังมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งป ทำให้ที่นี่ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้อน หน้าฝน หรือหน้าหนาว ก็จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวตลอดอีกด้วย
เนื่องจากที่นี่ มีความเป็นทั้งที่เที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ เพราะเคยเป็นจุดยุทธภูมิสำคัญในอดีตที่เกิดจากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับรัฐบาล ทำให้ยังคงมีสิ่งของเครื่องใช้ และฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์ให้เราได้เห็นกันอยู่นั่นเอง และระหว่างทางในการเดินไปชมจุดต่างๆ ก็จะได้ศึกษาธรรมชาติไปด้วยครับ
ไฮไลท์สำคัญประจำที่นี่ ก็คือ ลานหินปุ่ม และ ผาชูธง ครับ ลานหินปุ่มนั้น จะเป็นหินที่มีลักษณะพิเศษ เป็นลานหินที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งมีหินผุดขึ้นมาเป็นปุ่ม เป็นปม ขนาดไล่เลี่ยกัน คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหินนั่นเอง
ส่วนบริเวณ ผาชูธง จะตั้งอยู่ห่างจากลานหินปุ่มประมาณ 500 เมตร ซึ่งตรงจุดนี้ จะเป็นหน้าผาสูงชัน สามารถเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล และสวยงามมากในช่วงพระอาทิตย์ตกดิน นอกจากนั้นบริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นไปชูธงแดงรูปค้อนเคียวทุกครั้งที่รบชนะฝ่ายรัฐบาลอีกด้วยครับ แหมม ฟังแค่นี้ก็ตื่นเต้นจนอยากเดินขึ้นไปดูกันแล้วล่ะ
แต่ ! เนื่องจากวันนี้สภาพอากาศไม่ค่อยเข้าข้างเราสักเท่าไหร่ เลยทำให้ตลอดทั้งวันมีหมอกปกคลุมหนา สลับกับฝนตก เราจึงสามารถเดินขึ้นไปถึงเพียงบริเวณลานหลุมกระสุน เท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าจะขึ้นไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง เราก็ไม่ได้หมดสนุกแต่อย่างใด เนื่องจากระหว่างทาง เราจะได้เพลิดเพลินไปกับธรรมชาติ และดอกไม้นานาชนิดนั่นเอง
เมื่อลงมาจากลานหลุมกระสุนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ขอเพิ่มพลัง ทานข้าวมื้อเที่ยงกันสักหน่อยที่ ร้านอาหารรังทอง ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากอุทยานฯ ความเด็ดของร้านนี้ก็คือ การได้ลิ้มลองเมนูไก่ทอดรังทอด ที่สืบทอดกันมานานหลายสิบปี เพียงแค่กัดเข้าไปคำแรก ก็รับรู้ได้ถึงความกรอบของแป้งบางๆ และเนื้อด้านในนุ่มอีกด้วย โอ๊ยยย ถือว่าฟินมากๆ สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้
นอกจากเมนูไก่ทอดรังทองแล้ว ก็ยังมีเมนูแกงเลียงกุ้งสด ให้เราได้ซดน้ำซุปร้อนๆ กันอีกด้วยนั่นเองครับ แพลนในช่วงบ่ายของเราจะพาทุกคนไปถ่ายรูปกันที่ ผารักยืนยง บริเวณตรงนั่นจะมีจุดชมวิวเขา และถ่ายรูปสวยๆ คู่กับหน้าผานั่นเองครับ แต่ ! เนื่องจากช่วงที่เราไป หมอกลงหนาจัด เลยทำให้ไม่ได้เห็นวิวกว้างจากหน้าผา
นอกจากวิวบริเวณหน้าผาแล้ว ก็ยังไร่ดอกไม้สีเหลือง และไร่กาแฟ ให้เราได้เดินถ่ายรูปเล่นกันอีกด้วย ข้อดีของการมาในช่วงหมอกลงแบบนี้ ก็คือ เราจะได้ภาพฟีลป่าของเมืองนอก ในช่วงหน้าหนาวนั้นเอง โหยยย นี่ยังแอบนึกถึงภาพยนตร์เรื่องแวมไพร์ทไวไลท์เลยอ่ะ ฮ่าๆ
เมื่อถ่ายรูปกันเสร็จแล้ว ก็เดินทางกลับเข้าสู่ที่พัก ในตัวเมืองพิษณุโลก เพื่ออาบน้ำ แต่งตัวชิลๆ เตรียมความพร้อมกับปาร์ตี้ มินิคอนเสิร์ตเล็กๆ น้อยๆ ที่ทาง Greenwave 106.5 FM จัดเต็มไว้ให้
ในปาร์ตี้ มินิคอนเสิร์ตครั้งนี้ยังมีโซนอาหารให้เราตักทานกันอย่างกันไม่อั้นอีกด้วย อาทิ บาร์บีคิว แซลมอนซาชิมิ และอื่นๆ อีกมากมาย เอาเป็นว่าคืนนี้เราขอทิ้งท้ายไปกับความชิล และสนุกของปาร์ตี้ มินิคอนเสิร์ต ล่ะกันเนอะ...ฝันดีครับ :)
DAY 3
ตื่นเช้าขึ้นมาอาบน้ำ และแต่งตัวสบายๆ รวมไปถึงเก็บกระเป๋าเตรียมความพร้อมที่จะบินกลับกรุงเทพฯ ตอนช่วงบ่ายของวันนี้ และเนื่องจากวันนี้ เรายังมีเวลาชิลได้อีกครึ่งวัน จึงแพลนกันไว้ว่าจะนั่งรถรางชมเมืองเก่าพิษณุโลก เก๋ๆ พร้อมทั้งไหว้พระพุทธชินราชอีกด้วย
ซึ่งการนั่งรถรางในครั้งนี้ ทุกคนจะได้สัมผัสบรรยากาศความเจริญ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ชาวเมืองสองแคว พิษณุโลก สภาพอาคารบ้านเรือน ผังเมือง ไปจนถึงสถานที่สำคัญอย่างวัดสวยต่างๆ พระราชวัง และที่ตั้งของตำหนักพระนเรศวร พระสุพรรณกัลยา โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ถึง 1.30 ชั่วโมง
โดยเราจะเริ่มต้นทางจากจุด โรงแรม Pattara Resort & Spa ที่เราพักกันเลยครับ รถรางหนึ่งคันจะมีไกด์ วิทยากรคอยให้ความรู้ ข้อมูลจุดต่างๆ 1 คน ดังนั้นเราไม่ต้องเป็นห่วงเลยว่าจะไม่เข้าใจ ประวัติความเป็นมาของจุดต่างๆ
ระหว่างทางที่เรานั่งชมเมือง ทางไกด์ยังมีเมี่ยงคำเสียบไม้ ให้เราได้ทานเล่นกันอีกด้วย บอกเลยว่าอร่อยมาก ! เราก็จะได้เห็นบ้านเรือน ความเป็นอยู่ของเมืองพิษณุโลก ซึ่งจากที่สังเกตจะเห็นได้ว่าชาวบ้านที่นี่มีความเป็นอยู่กันอย่างเรียบง่าย ร้านค้าส่วนใหญ่จะเน้นเปิดขายก๋วยเตี๋ยวกัน เพราะในสมัยก่อนในยุคข้าวยากหมากแพง ทางรัฐบาลได้มีการผลิตวัตถุดิบที่เรียกว่าเส้นแป้งขึ้นมา เพื่อใช้เลี้ยงชีพแทนข้าว นั่นเองครับ
ทางไกด์จะพาเราลงที่ พระราชวังจันทน์ ซึ่งเป็นพระราชวังโบราณ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก ถือเป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งประจำเมืองพิษณุโลก เนื่องจากเป็นที่เสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และเป็นที่ประทับของพระองค์เมื่อทรงดำรงตำแหน่งอุปราช
ด้านในพระราชวังจะประกอบไปด้วยศูนย์ประวัติศาสตร์พระราชวังจันทน์ และศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งจุดนี้ ไกด์จะให้ทุกคนลงไปกราบไหว้ ขอพรกันอีกด้วย ซึ่งจะใช้เวลาไม่นาน ก็ไปกันต่อจนถึงปลายทางของรถรางในครั้งนี้ อย่าง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่าวัดพระศรี
จุดไฮไลท์เด่นๆ ของที่นี่ก็คือการเข้าไปกราบไหว้ ขอพร พระพุทธชินราช พระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานในวิหาร สำหรับเราแล้ววัดแห่งนี้เปรียบเสมือนเป็นสถานที่พึ่งทางจิตใจของชาวพิษณุโลกเลยก็ว่าได้
อ่านรีวิวเพิ่มเติมที่นี่ : เที่ยวเมืองรอง ! นั่งรถรางชมเมือง พิษณุโลก ไหว้พระพุทธชินราช ทำบุญขอพร กราบพระนเรศวร
จากนั้นในช่วงเที่ยงเราก็พาทุกคนไปทิ้งท้ายความอร่อยกันที่ ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาริมน่าน ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุอีกด้วย ที่นี่มีจุดเด่นอยู่ตรงสูตรก๋วยเตี๋ยวต้มยำแท้ๆ จากสุโขทัย แถมยังมีลูกเล่นตรงที่การนั่งห้อยขา ทานก๋วยเตี๋ยวอีกด้วย เรียกได้ว่าถ้าหากมาเยือนเมือพิษณุโลก ต้องห้ามพลาดที่นี่เด็ดขาด
อ่านรีวิวเพิ่มเติมที่นี่ : ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาริมน่าน ร้านอร่อย พิษณุโลก สูตรก๋วยเตี๋ยวต้มยำสุโขทัย แท้ๆ ที่คนรักเมนูเส้นห้ามพลาด
เมื่ออิ่มท้องกับมื้อสุดท้ายในทริปนี้กันไปแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางไปยังสนามบินพิษณุโลกเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ กันครับ สำหรับเราแล้วจังหวัดพิษณุโลกถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดในหมวด เมืองรอง ที่น่าสนใจ และคู่ควรแก่การมาเป็นอย่างมาก รับรองเลยว่าทุกคนจะได้สนุกไปกับกิจกรรมโหดๆ อย่างล่องแก่ง เดินป่าชมธรรมชาติสวยๆที่ภูหินร่องกล้า และปิดท้ายทำบุญไหว้พระพุทธชินราช เห็นป่ะ แค่นี้ก็คุ้มแล้ว
ขอขอบคุณทริปพิษณุโลก นี้ โดย : Greenwave 106.5 FM
ที่เที่ยว พิษณุโลก อื่นๆ ที่น่าสนใจ
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า กอดอากาศเย็นๆ ที่ ลานหินปุ่ม ชมดอกไม้สวย
ตะลุยดงทาก ตามล่าดอกลิ้นมังกร ที่ น้ำตกหมันแดง
อัพเดทที่พักสุดชิลล์ ที่เที่ยวสุดมันส์ ที่กินสุดฮิป
ติดตาม travel.trueid.net ได้ที่
LINE |
TrueID Application |