สังหารหมู่ที่นานกิง เรื่องจริงสุดนองเลือด ในประวัติศาสตร์โลก
หนึ่งในเหตุการณ์นองเลือดอันแสนเลวร้าย ที่เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นอกเหนือจากเรื่องราวของค่ายกักกันนาซีแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่เกิดขึ้นใกล้เรามากกว่าที่คิด และไม่ค่อยได้รับการกล่าวถึงในบ้านเราเท่าไหร่นัก นั่นคือเหตุการณ์ สังหารหมู่นานกิง (Nanking Massacre) ที่เกิดขึ้นในนานกิง อดีตนครหลวงของประเทศจีน นักประวัติศาสตร์ และพยานประเมินว่ามีจำนวนผู้ถูกฆ่าอยู่ระหว่าง 250,000 ถึง 300,000 คน นับเป็นอีกเรื่องที่สะเทือนใจ และคอยเตือนเราถึงความโหดร้ายของสงคราม
- 9 เหตุการณ์นองเลือด นรกบนดิน สะเทือนขวัญที่สุดของโลก
- เหตุการณ์นองเลือด จัตุรัสเทียนอันเหมิน เรื่องเศร้าในประวัติศาสตร์ประเทศจีน
เหตุการณ์ สังหารหมู่นานกิง
จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นานกิง
เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2480 หลังจากกองทัพญี่ปุ่นเพิ่งเข้ายึดเมืองเซี่ยงไฮ้ได้ไม่นาน ก็ยกกองกำลังมายังนานกิงซึ่งเป็นเป้าหมายถัดมา เพียงแค่ก่อนที่จะบุกถึงนานกิงนั้นทหารญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีเมืองซูโจวและสังหารทุกคนที่พบ การบุกเข้าเมืองซูโจวครั้งนี้ทำให้จำนวนประชากรในเมืองลดลงจาก 350,000 คน ลดลงเหลือไม่ถึง 500 คน
จนถึงรุ่งสางของวันที่ 13 ธันวาคม กองทัพญี่ปุ่นสามารถบุกผ่านประตูเมืองนานกิงเข้ามาได้ หลังจากโหมโจมตีอย่างหนักทั้งทางพื้นดิน และทางอากาศโดยใช้เวลาเพียง 4 วันเท่านั้น
และฝันร้ายบนดินก็เริ่มต้นขึ้น...
หลังการเข้ายึดครองนานกิง กองทหารญี่ปุ่นก็เริ่มเข่นฆ่าชาวจีนอย่างโหดเหี้ยม สารพัดวิธีสังหารที่ถูกนำมาใช้อย่างไม่ปราณี และไม่คิดว่ามนุษย์ด้วยกันจะทำกันได้ขนาดนี้ ทั้งการฝังทั้งเป็น เผาทั้งเป็น ยิงทิ้ง แทงด้วยดาบปลายปืน บั่นศีรษะด้วยดาบ คว้านตับไตไส้พุง ตัดหัวหรือสับเหยื่อเป็นชิ้นๆแล้วโยนให้สุนัขกิน ตอกเชลยไว้กับแผ่นไม้แล้วให้รถถังแล่นทับ ออกปล้นสะดมผู้คน และสิ่งที่ทำให้ชาวจีนโกรธแค้นมากที่สุดคือการข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิง และเด็กเป็นจำนวนมากจนเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า The Rape of Nanjing
หญิงชาวจีนถูกข่มขืนเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ในเวลาแค่ 4 สัปดาห์หลังยึดนานกิงสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาว คนท้อง หรือคนแก่ ทหารญี่ปุ่นข่มขืนชนิดไม่เลือกหน้า ไล่ตั้งแต่ชาวนา เด็กนักเรียน ครู พนักงานระดับบริหาร คนงาน อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งแม่ชี ต่างก็เลี่ยงไม่พ้นการถูกข่มขืนทั้งสิ้น แม้ระดับนายทหารยังสนับสนุนการข่มเหง และยังเตือนให้พลทหารจัดการเหยื่อเมื่อเสร็จธุระเพื่อกำจัดหลักฐานอีกด้วย หากขัดขืนก็ต้องถูกยิงตายอยู่ดี
นักประวัติศาสตร์ รวมทั้งหน่วยงานบรรเทาทุกข์ที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างพูดตรงกันว่ากองทัพญี่ปุ่นได้สังหารชาวจีนเฉพาะในเมืองนานกิงราว 300,000 คน ชาวอเมริกันหลายคนหลากอาชีพที่ทำงานที่นั่นต่างเล่าตรงกันถึงเรื่องราวความโหดร้ายครั้งนี้ เช่น
"คนจำนวนราวสี่ร้อยคน ถูกล่ามติดกันเป็นชุดๆ ชุดละประมาณห้าสิบคน โดยมีแถวของทหารที่ถือปืนยาว และปืนกลมือคอยควบคุมเพื่อนำตัวทั้งหมดไปประหาร เมื่อนักโทษถูกยิงล้มลงไปนอนกับพื้นแล้ว ทหารทั้งหลายก็เข้าไปเอาเท้าเหยียบ และใช้ปืนพกยิงเข้าใส่ผู้ที่ยังมีลมหายใจอยู่"
อีกหนึ่งบันทึกที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เป็นของสาธุคุณ จอห์น มากี นักสอนศาสนาชาวอเมริกันที่อยู่ในเหตุการณ์ เล่าว่าทหารญี่ปุ่นไม่เพียงสังหารเชลยศึกทุกคนเท่านั้น แต่ยังเข่นฆ่าชาวเมืองทุกเพศ ทุกวัยด้วย ท่านจึงจัดตั้งเขตปลอดภัยสากลขึ้น ร่วมกับชาวตะวันตกอื่นๆ เพื่อช่วยเหลือชาวจีนให้รอดพ้นจากความตายเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะผู้หญิงให้พ้นจากการข่มขืน
แม้กระทั่งหนังสือพิมพ์ในญี่ปุ่นยุคนั้นก็รายงานว่า พวกทหารชั้นผู้น้อยของญี่ปุ่นต่างแข่งกันว่าใครจะฆ่าคนจีนได้มากกว่ากัน
จำนวนผู้เสียชีวิตในนานกิงที่ไม่สามารถประเมินได้
ศพชาวจีนจำนวนมหาศาลถูกนำไปโยนทิ้งในแม่น้ำแยงซีเกียงจนสีแดงฉานไปด้วยเลือด ทางการจีนประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตราว 300,000 คน แต่การประเมินผู้เสียชีวิตทั้งหมดอย่างแม่นยำนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะบันทึกทหารญี่ปุ่นเกี่ยวกับการสังหารจำนวนมากถูกทำลาย หรือเก็บไว้เป็นความลับ การประเมินจากนักประวัติศาสตร์เองก็มีหลากหลายตั้งแต่ 40,000-200,000 คน ส่วนศาลทหารพิเศษระหว่างประเทศภาคพื้นตะวันออกไกล ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์กว่า 200,000 คน
แม้รัฐบาลญี่ปุ่นจะยอมรับการกระทำการฆ่าพลเรือนจำนวนมาก แต่จากการกระทำสังหารหมู่ชาวจีนในนานกิงครั้งนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ญี่ปุ่นตกต่ำอย่างถาวรจนไม่อาจฟื้นฟูขึ้นมาได้อีก นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนของความอำมหิตของสงคราม ที่ไม่เคยสร้างประโยชน์อะไรเลย นอกจากความพินาศของมนุษยชาติเท่านั้นเอง
ปัจจุบัน นานกิงกลายมาเป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดในประเทศจีน เป็นเมืองใหญ่อันดับสองในภาคตะวันออกของจีน รองจากช่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) การเดินทางท่องเที่ยวยังนานกิงมีสะดวกสบายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน รอคอยนักเดินทางที่ชอบเมืองที่เต็มไปด้วยวิถีชีวิต ศิลปะ และวัฒนธรรม
====================