ภูทอก บึงกาฬ เป็นสถานที่อันเลื่องชื่อลือชา ในความสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ และเรื่องราวอันงดงามตามอัตชีวประวัติของพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ผู้ริเริ่มก่อตั้ง วัดภูทอก หรือ วัดเจติยาคีรีวิหาร ตั้งแต่ปี 2483...เนื่องจากภูทอกมีลักษณะเป็นภูเขา ผู้จะขึ้นไปชื่นชมความงามที่ธรรมชาติรังสรรค์และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิรมงคลบนภูทอกนั้น อาจคิดว่าสามารถทำได้เฉพาะในช่วงที่อากาศแห้ง ไม่มีฝนตก...ตอนแรกผู้เขียนก็คิดแบบนั้นแหละค่ะ แต่ว่าเมื่อได้ไปเยือนภูทอกในวันที่มีฝนตก (ไม่หนักถึงกับเป็นพายุฝน) ผู้เขียนก็รู้สึกประทับใจและไม่ผิดหวัง จึงอยากเอาทริคเพิ่มสีสันการเดินทางมาแบ่งปันค่ะ1. ขึ้นภูทอกแต่เช้าการขึ้นไปเยือนภูทอก แวะเช็กอินตามจุดต่าง ๆ บนภูทอก ใช้เวลาประมาณครึ่งวันนะคะ...และจะเป็นประสบการณ์ที่ดีเพียงไร ถ้าเราเป็นคนแรก ๆ ที่ได้ขึ้นไปเยือนภูทอกได้ดื่มด่ำและเก็บภาพความสวยงามของธรรมชาติและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างสงบ ๆ โดยไม่ต้องรอหรือแย่งซีนกับใคร เดินชิล ๆ แบบไม่ร้อน แล้วก็ลงจากภูทอกมาอย่างสง่างามแต่หัววัน มีเวลาเหลือให้ไปนั่งทานอาหารมื้อกลางวันอร่อย ๆ เป็นรางวัลให้กับตัวเอง...อย่างนี้แล้ว เราก็ไปภูทอกแต่เช้าเลย จะรออะไรล่ะคะ?ภูทอก อยู่ในเขตอำเภอศรีวิไล ห่างจากอำเภอเมืองบึงกาฬ ประมาณ 50 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า ๆ...ดังนั้น ผู้เขียนก็ใช้วิธีพักค้างคืนชมริมโขงอยู่ในอำเภอเมือง แล้วตื่นแต่เช้ามืด เพื่อทานอาหารเช้า และเตรียมพร้อมออกเดินทางไปยังอำเภอศรีวิไล ให้ทันได้ขึ้นภูทอกตั้งแต่ประตูเปิด (เปิดให้ขึ้นระหว่าง 8:00 - 17:00 น.) ค่ะ...ผู้เขียนเลือกไปเยือนภูทอกในวันธรรมดา ไม่ใช่วันหยุด...ถึงแม้วันนั้นฝนตกหนักตั้งแต่เช้ามืดเลย แต่เมื่อเดินทางไปถึงวัดภูทอก ฝนก็หยุดตกพอดีค่ะ2. จำเป็นต้องมีสิ่งนี้สำหรับการไปเยือนภูทอกบนภูทอกมีสภาพเป็นป่าเขาสมบูรณ์ บรรยากาศมีความเย็นและชื้น ทางเดินมีความสูงชัน พื้นมีทั้งที่เป็นแผ่นหินตามธรรมชาติและไม้ พื้นและราวบันไดมีทั้งมอสและตะไคร่น้ำจับ ยิ่งทางเดินที่เวียนรอบภูเขาแล้ว ยิ่งมองเห็นพื้นด้านล่างผ่านช่องระหว่างไม้กระดาน...ดังนั้น เราต้องเลือกรองเท้าคู่ใจ ที่มีน้ำหนักเบา ใส่สบาย ไม่หลุดง่าย ป้องกันเท้าได้ดี ยึดเกาะพื้นได้ดี รองเท้าเช่นนี้จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเดินและปีนป่ายมาก ๆ...สำหรับผู้เขียน ขอใช้รองเท้าผ้าใบเท่านั้นค่ะขั้นบันไดบนภูทอกมีความสูงชัน บางครั้งก็เป็นขั้นห่าง ๆ ในขณะที่ทางเดินบางช่วงก็เป็นทางแคบ ๆ เสื้อผ้าจึงต้องมีความทะมัดทะแมงแมง ไม่ลุ่มล่ามรุงรัง มีความยืดหยุ่น ทำให้เคลื่อนไหวได้กระฉับกระเฉง ไม่หนัก ไม่อมน้ำ และควรง่ายต่อการทำความสะอาด เราไม่หวงมากถ้ามันจะเปรอะเปื้อนหรือถูกขีดข่วน ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการขึ้นเขา...แต่ที่สำคัญคือ ต้องเป็นชุดสุภาพเหมือนไปวัด ห้ามกางเกงขาสั้น กระโปรงสั้น และเสื้อกล้ามสำหรับผู้หญิงค่ะระหว่างการขึ้นภูทอกของผู้เขียน มีฝนตกปรอย ๆ บ้าง จะถือร่มไปด้วยก็ไม่ถนัด หมวกที่กันทั้งน้ำและแดด ใส่แล้วไม่เกะกะ ไม่บดบังสายตา จะช่วยได้มากค่ะบนภูทอก เขาไม่อนุญาตให้นำอาหารขึ้นไปทาน ไม่มีห้องน้ำ ไม่ให้ทิ้งขยะเรี่ยราดและทำสกปรก ดังนั้นนอกจากทานอะไรให้อิ่มก่อนขึ้นภูทอกแล้ว เราก็ต้องเข้าห้องน้ำห้องท่าให้เรียบร้อยด้วย แต่เราก็ควรพกพาน้ำดื่มแก้กระหายไปด้วยสักขวด โดยทิ้งขวดเปล่าในถังขยะที่เขาจัดให้ หรือนำขวดเปล่ากลับลงมาทิ้งข้างล่างค่ะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ควรทาโลชั่นกันแพ้ กันยุงและแมลง และนำยาทาแก้แพ้แก้คันแบบพกพาไปด้วยค่ะ3. เตรียมใจขึ้นไปสร้างสิริมงคลบนภูทอก จะมีจุดสำคัญต่าง ๆ ให้ผู้ไปเยือนได้สักการะบูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล ให้ความรู้สึกสงบร่มเย็นใจ แถมยังเป็นที่พักเหนื่อยหรือหลบแดดหลบฝนได้ด้วย โดยเฉพาะบนชั้น 5 (มีทั้งหมด 7 ชั้น) ได้แก่ศาลากลาง เป็นโถงใหญ่บนหน้าผา ใช้ผนังถ้ำเป็นฝาผนังด้านหนึ่ง ประดิษฐานพระพุทธรูปกุฏิหลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ อนุญาตให้ขึ้นไปสักการะรูปเหมือนของท่านอย่างใกล้ชิดวิหารครูบาอาจารย์ ที่เต็มไปด้วยรูปหล่อขนาดเท่าตัวจริงของเหล่าพระอริยสงฆ์ไทยในตำนานสายพระธุดงค์กรรมฐาน นำโดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต4. ห้ามพลาดเช็กอิน (ไม่ได้เช็คอินเท่ากับไปไม่ถึงภูทอก)เตียงในตำนาน บริเวณลานหน้าถ้ำใหญ่ชั้น 5 เป็นเตียงที่ชาวบ้านผู้เป็นญาติเจ้าของเตียงซึ่งฆ่าตัวตาย นำมาถวายแก่วัด ให้ทางวัดได้ใช้ประโยชน์เพื่ออุทิศเป็นส่วนกุศลแด่ผู้ตาย...ถึงแม้จะไม่มีเรื่องราวน่ากลัวอะไร แต่ก็เป็นที่รู้จักในวงการหลอน ๆ ค่ะพุทธวิหาร เป็นส่วนที่แยกจากตัวภูเขา เชื่อมกับภูทอกชั้นที่ 5 ด้วยสะพานหินธรรมชาติและสะพานไม้ ตำนานบอกว่าประดิษฐานพระบรมสารีริกธาติ และเป็นที่เสด็จดับขันธปรินิพพานของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง...ที่ดูมหัศจรรย์คือ เราจะมองเห็นเหมือนมีเงานักบวชโบราณหรือฤาษีนั่งขัดสมาธิอยู่บนผนังหินด้านหน้าวิหารถ้ำพญานาค เชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค ปากทางเข้าถ้ำอยู่บนชั้น 6 ประดิษฐานพระพุทธรูปปางนาคปรก ผนังหินหน้าถ้ำมีรูปร่างและสีสันประหลาด และมีรอยที่เชื่อกันว่าเป็นรอยเลื้อยของพญานาค5. เตรียมไปเหยียบเมฆเสน่ห์ของการไปเยือนภูทอกในหน้าฝนคือ แต่ละย่างก้าวเหมือนเราได้ไปเหยียบเมฆและเดินผ่านเมฆ เมื่อมองลงไปยังพื้นด้านล่างก็เห็นม่านเมฆ...จุดที่ประทับใจที่สุดสำหรับผู้เขียนก็คือ บริเวณสะพานหินที่เชื่อมภูทอกกับวิหารพระพุทธค่ะ6. เช็กอินส่งท้ายก่อนกลับ ก็แวะกราบลาหลวงปู่จวน ที่เจดีย์พิพิธภัณฑ์อัฐบริขารของท่าน ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของวัด...ในเจดีย์ อย่าลืมไปดูบาตรบุบในตำนานอภินิหารหลวงปู่จวนด้วยนะคะภูทอก วัดเจติยาคีรีวิหาร มีรายละเอียดดี ๆ อีกมากมาย มากกว่าที่ผู้เขียนได้กล่าวนี้ ที่ใครก็ตามเมื่อได้ไปสัมผัสก็จะประทับใจไม่รู้ลืม...ยิ่งถ้าได้ทราบหรือศึกษาอัตชีวประวัติของหลวงปู่จวน และประวัติการก่อตั้งวัดนี้แล้ว ก็จะยิ่งเพิ่มสีสันให้แก่การไปเยือนเป็นอย่างดีค่ะ...ผู้เขียนเอง แม้จะเคยไปแล้ว ก็ยังอยากกลับไปเยือนอีกซ้ำ ๆ และเสน่ห์ของการขึ้นไปเยือนภูทอกในช่วงหน้าฝน ก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวประทับใจของผู้เขียนตลอดมาค่ะ.มรรษยวรินทร์พิกัด วัดเจติยาคีรีวิหาร (วัดภูทอก) บึงกาฬภาพประกอบทั้งหมด โดย มรรษยวรินทร์ อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !