K o h S i C h a n g เฮลโหล!! เพื่อนๆสายเที่ยวทั้งหลาย วันนี้จอยมีสถานที่เที่ยวในวันหยุดสั้นๆ 1 วันก็เที่ยวได้ สำหรับคนมีเวลาน้อย งบน้อย และเที่ยวคนเดียวมาฝากกันค่ะ นั่นก็คือเกาะสีชัง นั่นเอง เดินทางสะดวกและง่ายมากๆ ครั้งนี้เราตั้งต้นที่ม.เกษตร ศรีราชาเช่นเดิม มุ่งหน้าไปยังเกาะลอยเรามาดูวิธีการเดินทางกันค่ะขับรถหรือขี่มอเตอร์ไซค์ไปเอง : หากใครยังไม่เคยไปมาก่อน ให้มุ่งหน้าไปทางโรงพยาบาลสมเด็จ จากนั้นตรงไปเรื่อยๆจนไปเจอกับหอนาฬิกา เลี้ยวซ้ายขับตรงไปจนเจอกับวงเวียน ให้เลี้ยวซ้ายก็จะเข้าเกาะลอยแล้วค่ะใช้บริการยานพาหนะขนส่ง : ขึ้นรถสองแถวสีขาวที่เขียนว่า ศรีราชา-นาเกลือ (10บาท) นั่งไปจนสุดสายที่หอนาฬิกา จากนั้นแล้วแต่ที่เพื่อนๆสะดวกเลยค่ะ จะนั่งพี่วินหรือตุ๊กๆตามแต่เลือกเลย ใช้บริการยานพาหนะขนส่ง :สำหรับใครที่มาจากโรบินสัน ศรีราชาสามารถขึ้นตุ๊กๆที่โรบินสัน ศรีราชามาลงยังเกาะลอยโดยตรงได้เลยค่ะ ครั้งนี้จอยขับมอเตอร์ไซค์ไปเองค่ะ พอไปถึงเกาะลอยจะมีที่สำหรับจอดรถได้ฟรี เราก็ไปหาที่จอดรถให้เรียบร้อยแล้วก็ไปซื้อตั๋วกันค่ะ ราคาตั๋วจะอยู่ที่ 50 บาท ซื้อแล้วไม่รับคืนนะคะ ปกติเรือจะออกทุกๆ 2 ชั่วโมง แต่ช่วงที่จอยไปเป็นเทศกาลปีใหม่ เรือจึงออกทุกๆครึ่งชั่วโมงค่ะ ใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมด 50 นาทีเท่านั้นเอง ระหว่างทางก็จะเจอกับเรือบรรทุกสินค้าทอดสมออยู่แบบนี้เลย พอไปถึงจะมีบริการต่างๆมามายรอเซอร์วิสให้เราไม่ว่าจะเป็นบริการเช่ารถมอเตอร์ไซค์เอย Skylap เอย ส่วนตัวจอยเลือกใช้บริการเช่ามอเตอร์ไซค์รายวัน (250บาท) ถ้าเช่า24 ชม.สำหรับเพื่อนๆที่มาค้างคืนราคาจะอยู่ที่300 บาท หลังจากตกลงเช่ารถ พี่ๆที่ให้บริการจะถ่ายรูปเรากับมอเตอร์ไซค์ไว้เป็นหลังฐาน ป้องกันเราไม่คืนรถนั่นเอง แล้วเค้าก็จะให้แผนที่ของเกาะสีชังมา พร้อมกับหมวกและนามบัตร ซึ่งบอกเลยว่าแผนที่ตัวหนังสือเล็กมาก จอยตั้งจุดเริ่มต้นที่เซเว่นแต่หายังไงก็หาเซเว่นในแผนที่ไม่เจอ กว่าจะเจอคือต้องแสกนแล้วแสกนอีก มันเล็กมากจริงๆทุกคน555 ใครมาคนเดียวแล้วสายตาสั้นต้องพกแว่นขยายมาด้วยนะ ด้วยความปรารถนาดีอย่างยิ่ง เวลาขับขี่ ถ้าเป็นนักท่องเที่ยวพี่ๆเขาแนะนำว่าให้ใส่หมวกทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นอาจมีตำรวจขับไล่ตามเรามาก็ได้ ดังนั้นใส่หมวกกันด้วยนะทุกคน สถานที่แรกที่จอยไปคือศาลเจ้าแม่กวนอิมและเจ้าพ่อเขาใหญ่ สองที่นี้อยู่ติดกันเลย พอไปถึงก็จะมีคนบอกว่าให้เข้าไปสักการะศาลเจ้าแม่กวนอิมก่อน บูชาตั้งแต่ข้างล่างขึ้นไปข้างบนจะเป็นมงคลกับชีวิต จอยก็ไปเลยจ้า... เขาว่าไงจอยว่าตามสุดๆ5555 ด้วยความที่ไม่เคยเข้าศาลเจ้ามาก่อนก็จะเกิดการเก้งๆกังๆทำอะไรไม่ถูก เค้าต้องไหว้กันยังไงน้า ดังนั้นที่พึ่งของเราก็คือพี่คนขายธูปเทียนนั่นเองซึ่งก็ไม่ได้อะไรกลับมานอกจากคำว่า เข้าไปข้างในเลยน้อง เอ้อ... ขอบคุณค่ะพี่ นี่ก็ต้องครูพักลักจำจากคนข้างๆที่เข้าไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมด้วยกัน555 ราคาธูปเทียนจะอยู่ที่ 40 บาท ระหว่างที่เดินไปปักธูปตามจุดต่างๆก็จะมีกล่องให้ใส่ และสุดท้ายจอยก็มาเสี่ยงเซียมซีตามน้องผู้ชายขาวๆคนนึง55555 สถานที่ต่อไปแน่นอนว่าต้องเป็นที่ที่ตั้งอยู่ข้างๆกันนั่นก็คือเจ้าพ่อเขาใหญ่ ทางขึ้นชันมาก ใครใคร่จะเดินขึ้นก็เดิน ใครใคร่จะนั่งขึ้นไปก็นั่ง ซึ่งแน่นอนว่าจอยเลือกนั่งขึ้นไปนั่นเอง สถานที่ต่อไปตั้งใจจะไปรอยพระพุทธบาท แต่ดันขับเลยมาจนถึงหาดถ้ำพังสะได้ ไหนๆก็ไหนแล้ว ลงไปเอาเท้าจุ่มน้ำหน่อยแล้วกันเนอะ บอกเลยว่าน้ำทะเลใสมากกก มากจนอยากกระโดดลงไปเล่นน้ำเลยติดอย่างเดียว ไม่ได้เอาชุดไปเปลี่ยนด้วยนั่นเอง โถ่... งานนี้ก็อดลงไปเล่นน้ำเลยสิ แต่ไม่เป็นไร แค่ได้สัมผัสเราก็โอเค สถานที่ต่อไปเราขับไปที่แหลมจักรพงษ์กัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหาดถ้ำพังเลย ระหว่างทางคือวิวดีมากอยากจะแวะถ่ายรูปหลายจุดแต่ติดตรงที่เราจะจอดรถกลางถนนแล้วถ่ายรูปไม่ได้!!! ดังนั้นเราต้องไปให้ถึงจุดชมวิวกันก่อนแล้วค่อยถ่ายรูปกันนะคะทุกคน ชมวิวกันจนพอใจแล้วจอยก็ยังไม่ลดละที่จะไปตามหารอยพระพุทธบาท แต่ไหงมาโผล่ที่จุฑาธุชราชฐานสะได้ แต่ไหนๆก็มาแล้วขอเข้าไปหน่อยแล้วกัน ซึ่งขอบอกว่าใช้เวลาได้หน่อยเลยทุกคน เพราะจอยต้องมนต์อยู่ในนี้เกือบสามชั่วโมง!!! คือจอยจอดรถไว้ตรงทางเข้าด้านบนตรงจุดบริการนักท่องเที่ยว แต่ช่างเงียบเหงาเหลือเกิน เดินไกลมากกว่าจะลงมาด้านล่างได้ (ซึ่งมารู้ทีหลังว่าเข้าทางด้านล่างก็ได้ ไม่ต้องเดินไกลด้วย) แต่ระหว่างทางก็มีอะไรให้เราชมให้เราได้ถ่ายรูปอยู่นะเพื่อนๆ การเดินไกลครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่ามากๆ ตรงนี้คือจุดชมวิวเขาน้อย ขอบอกว่าตรงนี้แดดแรงมาก แต่สามารถมองทะเลได้รวมทั้งเห็นวัดอัษฎางคนิมิตรอยู่ลิบๆด้วย ไม่รอช้าเราก็ต้องลงไปถ่ายรูปกันหน่อย ถึงวัดอัษฎางคนิมิตรแล้วเดินไกลไม่น้อยเลยนะเนี้ย แอบเสียดายตรงข้างๆวัดมีการปรับรุงทางเดิน ไม่อย่างนั้นที่นี่คงสมบูรณ์แบบน่าดู รอบๆจะมีจารึกต่างๆให้เราอ่าน ด้วยเวลาจำกัดจอยจึงไม่สามารถอ่านได้ทุกอัน(อันนี้ก็แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน แหะๆ) เรามาดูข้างในกันบ้างดีกว่า ทางเดินคือดีงามม ถึงต้นไม้จะไม่ค่อยมีใบแต่จอยว่ามันก็ยังคงสวยอยู่ดี ระหว่างทางก็เจอกับเจดีย์เหลี่ยม ซึ่งจอยไม่ได้อ่านว่ามันคืออะไรเพราะหาป้ายไม่เจอ?! แป๋ววว ระหว่างทางมันจะมีป้ายบอกว่าทางนี้ไปไหนบ้าง ซึ่งTarget ของเราคือเรือนผ่องศรี แต่จอยดันเดินออกมาที่สระรูปหัวใจสะงั้น55555 งานนี้บอกเลยว่าอยากไปตรงไหนไม่ได้ไปที่แท้ทรู ซึ่งตรงข้ามสระรูปหัวใจคือลานทรงน้ำของร.5 เดินเลยไปนิดตรงต้นโพธิ์จะมีชุดไทยถูกแขวนไว้พร้อมกับพวงมาลัยบูชาต่างๆ บอกเลยว่าขนลุกมาก ก็ตอนเดินไม่ได้มองด้านข้างว่ามีอะไร พอเห็นตรงหางตาว่าเหมือนมีคนสวมชุดไทยยืนอยู่ My goshh อกอีแป้นจะแตก คิดว่าผีหลอกกลางวันแสกๆ ซึ่งมาดูแผนที่ทีหลังจึงได้รู้ว่าตรงจุดนี้คือต้นศรีมหาโพธิ์นั่นเอง ทำเอาตกอกตกใจหมดเลย เดินไปหน่อยเราก็จะพบกับพลับเพลาร.5 นั่นเอง ซึ่งเราจะเจอคุณยายท่านหนึ่งนั่งขายเครื่องสักการะอยู่ เราสามารถซื้อธูปเทียนและดอกกุหลาบไหว้ร.5 ได้อีกด้วย ดอกกุหลาบราคา 5 บาทเองเธอว์ ส่วนธูปเทียนราคา 10 บาท เดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆจนลืมแผนที่และป้ายบอกทางไปเลย เพราะต่อจากนี้เราจะเดินตามใจตัวเอง5555 ก็คือยอากเดินไปตรงไหนก็ไป จนเรามาเจอกับเรือนวัฒนา เป็นเรือนไม้สองชั้น ซึ่งก่อนเข้าไปเราได้ถามพี่คนดูแลแล้วว่าสามารถขึ้นไปชั้นสองได้ไหม พี่เขาบอกว่าได้ เราจึงไม่ลังเลที่จะเข้าไป แต่ก็แอบกลัวๆเหมือนกันนะ เนื่องจากเรามาคนเดียวแล้วด้านในก็ไม่มีใครเข้ามาดูเลยแม้แต่คนเดียว เกรงว่าจะจ๊ะเอ๋กับอะไรเข้า ข้างในนี้มองออกไปข้างนอกจะเห็นวิวทะเลและชายหาด เพราะว่ามันตั้งอยู่ติดกับทะเลไงล่ะ คือบรรยากาศดีมาก ไม่แปลกใจที่เรือนนี้จะเป็นเรือนพักฟื้นของผู้ป่วยที่เดินทางมารักษาตัวที่นี่ ในเมื่อด้านหน้าของเรือนวัฒนาเป็นทะเล งั้นจอยขอลงไปเล่นน้ำสักหน่อยแล้วกันเนอะ ซึ่งเราจะเห็นเรือบรรทุกสินค้าทอดสมออยู่ไกลๆ ถ้าไม่มีตรงนั้น วิวคงจะสวยมากนี้เยอะ555 เมื่อเราชักจะเหนื่อย เมื่อย และกระหาย เราย่อมต้องหาสถานที่ในการพักเหนื่อยและจิบน้ำเย็นๆ โดยหนึ่งเดียวในจุฑาธุชราชฐานคงหนีไม่พ้นเรือนไม้ริมทะเลแห่งนี้ เมื่อพักจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็เดินต่อไปเรื่อยๆ สถานที่ต่อไปไม่มาคงไม่ได้ นั่นก็คือ สะพานอัษฏางค์อันโด่งดังนั่นเอง บอกเลยว่าตรงนี้คนเยอะมาก และคงจะเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับสถานที่ต่างๆในจุฑาธุชราชฐานแล้วก็ว่าได้ และในที่สุดเราก็มาถึงเรือนผ่องศรีกันจนได้ เรือนนี้เป็นเรือนทรงแปดเหลี่ยม ไว้ใช้พักฟื้นสำหรับผู้ป่วยที่เดินทางมารักษาตัวที่เกาะสีชังเหมือนกัน แต่ก็แอบอยากรู้อยู่ลึกๆว่าเขานอนกันพอยังไง เรือนออกจะเล็กขนาดนี้ ด้านในจะมีประวัติของบุคลลต่างๆรวมทั้งเจ้าของชื่อสะพานอัษฏางค์นั่นก็คือ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา ซึ่งร.5 พระราชทานนามตามพระนามของพระราชโอรสนั่นเอง ซึ่งในเรือนนี้เราก็จะได้รู้ประวัติความเป็นมาของสถานที่ต่างๆในจุฑาธุชราชทานมากขึ้นอีกด้วย และเรือนผ่องศรีนี้เอง ร.5 ได้พระราชทานนามตามพระนามพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี ที่ทรงบริจาคทรัพย์จัดซื้อเครื่องตกแต่งสำหรับเรือนแห่งนี้ เดินเท้ากับมาต่อกับสถานที่สุดท้ายที่จอยได้ไปสัมผัสนั่นก็คือ เรือนอภิรมย์ แน่นอนว่าเรือนแห่งนี้ก็เป็นสถานที่สำหรับพักฟื้นอีกเช่นกัน และนามของสถานที่แห่งนี้ก็ได้รับพระราชทานนามตามพระรามของพระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ (พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ กรมพระสุทธาสินีนาฏ ปิยมหาราชปดิวรัดา) จะบอกว่าระหว่างทางลงกลับจากจุฑาธุชราชฐาน จอยได้เจอกับสองแม่ลูกน้องหมูป่ากำลังจะข้ามถนน แต่พอจอดรถให้น้องดันวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามาหาเหมือนจะขออาหาร แต่ติดตรงที่จอยไม่มีอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะเจ้าหมูป่าน้อย แม้ว่าจอยจะไม่ได้ไปทุกที่เนื่องด้วยเวลาจำกัด แต่เพียงเท่านี้จอยก็ Happy กลับบ้านรับปีใหม่แล้วค่ะ และก็ขอให้ทุกคนมีความสุขที่ได้มาเที่ยวเกาะสีชังกันนะคะ สนนราคา One Day Trip at Koh Si Chang อยู่ที่ 520 บาท เท่านั้นเองค่าเรือไปกลับขาละ 50 บาท = 100 บาทค่าเช่ามอเตอร์ไซค์หนึ่งวัน = 250 บาทค่าธูปเทียนสักการะเจ้าแม่กวนอิม= 40 บาทบริจาคลงกล่องทำบุญ = 40 บาทค่าธูปเทียนสักการะเจ้าพ่อเขาใหญ่ = 25 บาท (ไม่ค่อยแน่ใจราคาเท่าไรแต่ไม่ถึง40บาทแน่นอนค่ะ)ค่าดอกกุหลาบ ธูปเทียนสักการะพระบรมรูปร.5 = 15 บาทน้ำดื่มตรงเรือนไม้ = 10 บาทปลาหวานเชื่อมและน้ำอัดลม = 40 บาท T H A N K Y O U