วัดอันซีนกลางกรุงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาออกพรรษา เดือนสิบที่ฝนหยุด ผมตั้งใจออกเดินทางสู่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่ไม่ค่อยอยู่ในสายตานักท่องเที่ยวทั่วไป “วัดประยงค์กิตติวนาราม” (Wat Prayong Kitti Wanaram) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตหนองจอก กรุงเทพฯ ไกลออกไปจากศูนย์กลางเมืองพอสมควร แต่กลับมีมนต์เสน่ห์ที่น่าหลงใหล ทั้งความสงบ ความงามทางสถาปัตยกรรม และองค์พญาครุฑองค์ใหญ่ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ในบทความรีวิวนี้ ผมจะพาผู้อ่านไปรู้จักวัดนี้ในทุกแง่มุม บรรยากาศรอบวัด ความโดดเด่นทางศิลปะ การถ่ายรูปมุมสวย จุดที่ควรรู้ และวิธีการเดินทางให้สะดวก เพื่อเป็นแนวทางให้ใครก็ตามที่อยากหนีความวุ่นวายในเมือง มาเติมบุญ เติมใจ ให้เรียบง่ายในวันออกพรรษา ประวัติโดยย่อ & ข้อมูลพื้นฐาน ชื่อวัด / ชื่อทางการ วัดประยงค์กิตติวนาราม (Wat Prayong Kitti Wanaram) ชาวบ้านบางคนเรียกว่าวัด “หลวงพ่อเพชร” นิกาย / สังกัด เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ที่ตั้ง / พิกัด แขวงคลองสิบสอง เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ที่อยู่โดยละเอียด: 22 หมู่ 4 ถนนประชาสำราญ (หรือ ประชาร่วมใจ/ประชาสมราญ) ตำบลคลองสิบสอง เขตหนองจอก กรุงเทพฯ รหัสไปรษณีย์: 10530 เวลาทำการ / วันเปิด สถานที่เปิดให้เข้าชมทุกวัน ช่วงเวลาประมาณ 08:00 – 17:00 น. จุดเด่น / สิ่งที่น่าสนใจ “พญาครุฑองค์ใหญ่” ที่อยู่ด้านหน้าพระอุโบสถ เป็นประติมากรรมที่สะดุดตาอย่างมาก — ตัวครุฑส่วนบนเป็นสีแดง ส่วนปีกกับช่วงล่างเป็นสีทอง เรียกว่าเป็นครุฑสีทองแดงที่โดดเด่นในกรุงเทพฯ พระอุโบสถทรงจัตุรมุข ภายในประดิษฐานพระพุทธศรีอริยเมตไตย (ทรงเครื่อง) เป็นพระประธาน พร้อมอักขระยันต์รอบๆ อุโบสถ “โบสถ์หมื่นยันต์” ซุ้มยันต์ภาษาขอม ในอุโบสถถือเป็นเอกลักษณ์ที่คนเรียกถึงบ่อยครั้ง รูปหล่อหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ บริเวณลานสวนภายในวัด พระพุทธรูปปางต่าง ๆ, พระพิฆเนศ, พระปางนาคปรก, และอุโมงค์ยันต์ที่เชื่อมโยงกับเรื่อง “พลิกชะตา / เสริมดวง” บรรยากาศร่มรื่น มีต้นไม้ สนามหญ้า น้ำพุ และมุมเงียบให้พักใจ วัดยังเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม มีการจัดคอร์สวิปัสสนา ให้ผู้สนใจเข้าร่วมได้ ความประทับใจในบรรยากาศเมื่อมาถึง การเดินเข้าสู่วัด – ก้าวแรกสู่ความสงบ เมื่อรถแล่นผ่านถนนประชาสำราญเข้าไปลึกในเขตหนองจอก ความพลุกพล่านของถนนใหญ่ค่อย ๆ ถอยห่าง เบื้องหน้าเริ่มเห็นซุ้มวัดหรือทางเข้าเล็ก ๆ ที่เปิดสู่ความเงียบสงบ ถนนเข้าวัดเป็นถนนคอนกรีตสองเลน ถัดจากซอยย่อยอีกขั้นหนึ่ง เดินทางเข้าวัดได้โดยไม่รู้สึกอึดอัด ในวันออกพรรษา — วันที่ฝนเริ่มซา ความชื้นในอากาศยังคงเหลือ กลิ่นหญ้า ดิน และความชุ่มชื้นอบอวล อากาศไม่ร้อนจัด เนื่องจากมีเงาไม้สูง และเมื่อมาถึงลานจอดรถ — จุดแรกที่ได้สัมผัสคือความสะอาดเรียบร้อย ไม่มีขยะให้รกสายตา และต้นไม้เขียวชะอุ่มล้อมรอบ ช่วยลดความแข็งกระด้างของโครงสร้างคอนกรีต ตอนก้าวเดินเข้ามาทางเดินที่จัดเป็นทางเท้าแคบ ๆ พลางมองลอดใบไม้จะเห็นองค์พญาครุฑเด่นอยู่หน้าพระอุโบสถ เสียงใบไม้แกว่งพัด ลมอ่อนพัดมาเป็นระยะ ความสงัดของลมช่วยให้จิตใจสงบ ลืมเวลาได้ชั่วครู่ การสำรวจภายในวัด: มุมเด็ด & จุดแวะสักการะ 1. เส้นทางเข้าหลัก & ซุ้มประตู ทางเข้าหลักจะเป็นทางให้เดินผ่านซุ้มประตูหรือแนวยาวเข้ามายังลานกลาง จุดนี้ถือเป็นมุมแรกที่เหมาะแก่การหยุดถ่ายภาพ เพราะจะเห็นองค์พญาครุฑตั้งตระหง่านคู่กับพื้นวัด หากมาช่วงเช้า (ประมาณ 08:30 – 10:00 น.) แสงอ่อน ๆ จากทิศตะวันออกจะสาดมาปะทะกับสีแดง-ทองของครุฑ ได้ภาพที่สีเข้มและคอนทราสต์ดี 2. จุดไฮไลต์ – องค์พญาครุฑ เมื่อเดินเข้ามาถึงลานด้านหน้าพระอุโบสถ จะพบ “พญาครุฑองค์ใหญ่” ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดดึงดูดหลักของวัด — บางสำนักบอกว่าเป็น “ครุฑสีทองแดง” เนื่องจากสีแดงที่ลำตัวและทองที่ปีกสลับกันอย่างงดงาม องค์ครุฑถูกจัดวางบนฐานเป็น “กองเหรียญ / กองทอง” เสมือนเป็นการแสดงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ของครุฑ บนฐานมักประดับระฆังเหรียญหรือเหรียญศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผู้มาเยือนมักนำไปบูชาเพื่อเสริมดวง จุดนี้เป็นมุมยอดฮิตของการถ่ายภาพ — ถ่ายจากด้านซ้าย ขวา หรือแอบถ่ายให้มองเห็นปีกกาง — แต่ต้องระวังเรื่องเงาและแสง เพราะตัวครุฑมีลวดลายละเอียด ถ้ามีโอกาสมาในช่วงฟ้าปลอดเมฆ หรือช่วงเย็น (ก่อน 16:30 น.) แสงอาทิตย์จะเฉียงด้านหลังครุฑ ทำให้เกิดแสงเงาสวยงาม 3. ภายในพระอุโบสถ & โบสถ์หมื่นยันต์ เข้าสู่พระอุโบสถ — ศาลาแห่งศรัทธา จุดนี้ห้ามถ่ายรูปภายในอาจมีข้อจำกัด ขึ้นอยู่กับทางวัด — แต่สิ่งที่เด่นชัดคือสิ่งประดับภายใน: พระพุทธศรีอริยเมตไตย (ทรงเครื่อง) เป็นพระประธาน ปรากฏอักขระยันต์ / คาถาโบราณ ภาษาขอม ที่ประดับรอบผนังอุโบสถ — หลายคนเรียกอุโบสถนี้ว่า “โบสถ์หมื่นยันต์” ซึ่งหมายถึงลวดลายยันต์มากมายที่แผ่ไปทั่วอาคาร ภายในบางมุมอาจมีแสงลอดผ่านหน้าต่างกระจกที่ซ่อนอยู่ ทำให้เกิดลวดเงาที่งดงาม — หากเลือกนั่งพักสายตา จะได้สัมผัสความเงียบสงบและแรงศรัทธา หากเวลาเอื้ออำนวย ลองนั่งสมาธิสั้น ๆ ภายในอุโบสถ สัมผัสเสียงลมหายใจ เสียงลมผ่านหน้าต่าง เสียงใบไม้ — เป็นช่วงเวลาที่ใจได้กลับมาเยียวยา 4. ลานสวนหลังวัด / มุมหลวงปู่ทวด & น้ำพุ ออกจากพระอุโบสถ เดินต่อไปยังลานหลังวัด — ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดโปร่ง มีแสงธรรมชาติเข้ามา และมีต้นไม้ใหญ่มากมาย จุดที่เด่นคือรูปหล่อหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ ประดิษฐานท่ามกลางแมกไม้ น้ำพุ และสวนตกแต่ง มุมนี้เหมาะสำหรับถ่ายภาพ Portrait หรือถ่ายมุมกว้างให้เห็นองค์หลวงปู่ทวด สวนเขียว และฟ้าบนหลัง บางมุมอาจซ้อนเงาต้นไม้ให้ภาพมีมิติ เส้นทางเดินระหว่างต้นไม้เงา ลานหิน หรือทางเดินปูพื้น ทำให้รู้สึกเดินช้า ๆ ฝนเริ่มซาซึม เสียงน้ำพุเบา ๆ ทำให้การเดินในวัดไม่รู้สึกเร่งรีบ 5. อุโมงค์ยันต์ / มุมพลิกชะตา หนึ่งในจุดที่ผู้มาเยือนมักแวะ คือ “อุโมงค์ยันต์” — ทางเดินลอดซุ้มที่ประดับด้วยยันต์โบราณ ภาษาขอม บ้างว่าเป็นทาง “พลิกชะตา / เสริมดวง” ผู้ที่เดินลอดอุโมงค์นี้มักตั้งจิตอธิษฐาน ปักธูปเล็ก ๆ แล้วลอดไปอย่างช้า ๆ แสงที่ลอดเข้ามาจากซุ้มยันต์จะทำให้เกิดลวดเงาที่น่าสนใจ หากถ่ายย้อนแสง (Backlight) อาจได้เงาซุ้มหรือรูปทรงของยันต์เป็นเงาบนพื้นทางเดิน — เป็นมุมที่แนะนำให้ลองถ่ายดู 6. มุมอื่น ๆ และเส้นทางรอบวัด ทางเดินรอบวัด: บางช่วงมีต้นไม้ใหญ่ ช่วยให้เงาร่ม มีมุมลึกเข้าไปสู่แนวต้นไม้ที่ซ่อนอยู่ — เหมาะสำหรับการเดินช้าหรือถ่ายรูปแนวธรรมชาติ มุมด้านข้างพระอุโบสถ: มองผนังยันต์จากแนวยาว อาจถ่ายเป็นภาพแนวสถาปัตยกรรม มุมเงามืด-แสงอ่อน: หากอยู่จนใกล้เวลาเย็น แสงอาทิตย์อ่อน ๆ จะสาดผ่านต้นไม้เป็นแสงเงาที่งดงาม จุดที่ควรรู้ก่อนเดินทาง & เคล็ดลับการถ่ายภาพในวันออกพรรษา เคล็ดลับการถ่ายรูปให้สวย มาเช้า / มาเย็น ช่วงเช้าราว 08:00 – 10:00 น. แสงนุ่ม เหมาะกับภาพด้านหน้าพระอุโบสถและครุฑ ช่วงบ่ายแก่ ๆ (15:30 – 17:00 น.) แสงฟ้าจะเฉียง ให้เงาแหลมสวย มองหาเงา / ลวดลายแสง เงาใบไม้ ซุ้มยันต์ เงาโครงสร้างภายในอุโบสถ ล้วนเป็นองค์ประกอบที่ช่วยเติมมิติให้ภาพ ใช้เลนส์ช่วงกลาง (35–50 มม.) เหมาะกับภาพแนวกว้างแวดล้อม และ Portrait คู่กับองค์ประติมากรรม อย่าใช้แฟลชภายในอุโบสถ เพื่อรักษาบรรยากาศแห่งศรัทธาและไม่รบกวนผู้อื่น เลือกมุมต่ำ / มุมก้มลง โดยเฉพาะกับองค์ครุฑ จะได้ภาพที่ดูสง่างาม ถ่ายย้อนแสง (Silhouette) ที่อุโมงค์ยันต์ ใช้แสงธรรมชาติลอดซุ้มเป็นเงา จะได้ภาพแนวศิลป์ คำนวณเวลาแดด ตรวจสอบทิศทางพระอาทิตย์ ณ วันนั้น — หากแดดแรงเกินไป เลือกมุมร่มหรืออยู่ใต้ต้นไม้ ข้อควรรู้ก่อนเข้าเยี่ยมชม แต่งกายสุภาพ ยาวคลุม膝-แขน ไม่สวมเสื้อสายเดี่ยวหรือกางเกงขาสั้น เคารพกฎห้ามถ่ายภาพในบางมุม หรือขออนุญาตเจ้าอาวาส / เจ้าหน้าที่ หลีกเลี่ยงการใช้เสียงดัง เดินอย่างเบามือ หากต้องการนั่งสมาธิ คำนึงถึงผู้อื่น และรักษาความสงบ มีจุดวางรองเท้าหรือพื้นที่วางรองเท้าก่อนเข้าพระอุโบสถ ช่วงเทศกาลอาจมีคนนิยมมาเยือน — ถ้าไปเช้าวันเสาร์-อาทิตย์อาจมีผู้คนหนาแน่นกว่า การเดินทางไปวัดประยงค์กิตติวนาราม เนื่องจากวัดอยู่ลึกจากตัวเมืองใหญ่ การเดินทางควรเตรียมพร้อมเล็กน้อย เส้นทางโดยรถยนต์ส่วนตัวหรือแท็กซี่ ใช้ถนนหลักเข้าสู่ถนนประชาสำราญ / ประชาร่วมใจ / ประชาสมราญ จากถนนหลักให้ออกซอยเข้ามาในเขตคลองสิบสอง / คลองสิบสอง กดตามแผนที่ (GPS) ไปยัง 22 หมู่ 4 รถขนาดกลางสามารถเข้าได้ สังเกตป้ายวัด / ซุ้มทางเข้า มีลานจอดรถภายในวัด (จำนวนจำกัด) เส้นทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ การเดินทางด้วยรถสาธารณะอาจไม่สะดวกเต็มที่ เนื่องจากเป็นวัดในเขตชานเมือง: อาจใช้รถเมล์ / รถสองแถว / มอเตอร์ไซค์รับจ้างจากจุดที่ใกล้ที่สุด เช่น จุดรถเมล์สายที่จะผ่านถนนประชาสำราญ หรือใช้บริการแท็กซี่/แกร็ปจากสถานีรถไฟฟ้าหรือจุดที่เดินทางถึงได้สะดวก แนะนำให้เตรียมกูเกิลแมป หรือพิมพ์ชื่อ “Wat Prayong Kitti Wanaram” เป็นภาษาไทย “วัดประยงค์กิตติวนาราม” ให้คนขับรถ (บางคนไม่คุ้นชื่อภาษาอังกฤษ) พูดชื่อแขวงคลองสิบสอง เขตหนองจอก ช่วยให้คนขับเข้าใจเส้นทางได้ดีขึ้น ระยะเวลาโดยประมาณ จากตัวเมืองกรุงเทพ (ศูนย์กลางเช่น สยาม / อนุสาวรีย์ชัยฯ) อาจใช้เวลา 45 นาที – 1 ชั่วโมง ขึ้นกับสภาพการจราจร จากสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลาไม่มาก (ประมาณ 30–40 นาทีโดยรถยนต์ส่วนตัว) จุดเด่น & ข้อสังเกต (จุดดี / จุดที่อาจต้องระวัง) ข้อดีที่โดดเด่น ความสงบในเขตชานเมือง — แม้จะอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ระดับความเงียบสงบอยู่ในเกณฑ์สูง องค์พญาครุฑที่เป็นจุดเอกลักษณ์ — เป็นประติมากรรมที่สะดุดตาและแปลกตาในเมือง สถาปัตยกรรมยันต์ / ลวดลายภายในอุโบสถ — ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์ ลึกล้ำ มุมถ่ายภาพธรรมชาติ + สถาปัตยกรรมผสมกัน — มุมต้นไม้ ลานกว้าง ซุ้ม และเงา โอกาสนั่งสมาธิ / ปฏิบัติธรรม — มีความเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมที่รองรับผู้สนใจ แสงธรรมชาติเข้าถึงได้ดี — มีพื้นที่เปิดให้แสงลอด ทำให้ภาพมีมิติ ข้อสังเกต / ข้อจำกัด การเดินทางไม่สะดวกมากสำหรับคนไม่มีรถ — เส้นทางเข้าอาจซับซ้อนสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นแนวซอยลึก จุดจอดรถมีจำกัด — ในบางช่วงเมื่อมีผู้คนมาเยอะ อาจต้องเดินจากที่จอดไกล ข้อจำกัดการถ่ายรูปภายในอุโบสถ — ต้องเช็คกับเจ้าหน้าที่ก่อน เพราะบางวันอาจมีการห้าม แสงแดดช่วงเที่ยงจัด — ถ้ามาในช่วงสายจัดหรือเที่ยงตรง อาจได้ภาพที่เผาฟ้า/เงาจัด ไม่ใช่วัดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสำหรับนักท่องเที่ยว — เช่น คาเฟ่ โซนพักผ่อนใหญ่ หรือร้านอาหารภายใน เหมาะกับใคร และแนะนำเวลาเยี่ยมชม เหมาะกับ ผู้ที่ชอบเดินทางสายวัด / สายศรัทธา / ปฏิบัติธรรม คนที่อยากหามุมสงบในกรุงเทพฯ ช่างภาพสายศิลป์ที่มองหาองค์ประกอบธรรมชาติ + ลวดลายศิลปะ ผู้ที่อยากใช้วันออกพรรษาเป็นโอกาส “คืนใจ” แนะนำเวลาเดินทาง ช่วงเช้า – ช่วงสาย (ประมาณ 08:00 – 10:30 น.) — แสงอ่อน เหมาะกับภาพหน้าครุฑและองค์โบสถ์ ช่วงบ่ายแก่ ๆ (15:30 – 17:00 น.) — แสงเฉียง เหมาะกับเงา ลวดลาย และซิลูเอท หลีกเลี่ยงช่วงเที่ยงจัด (11:30 – 14:00 น.) ถ้าอยากได้ภาพสวย สรุปรีวิว & บทส่งท้าย วันออกพรรษาที่ฉันใช้เวลาในวัดประยงค์กิตติวนาราม กลายเป็นวันที่ “พักใจกลางกรุง” อย่างแท้จริง แม้จะอยู่ไกลจากศูนย์กลางเมือง แต่ความสงบ ความศรัทธา และความงามของสถาปัตยกรรม-ลวดลายภายในวัดดึงดูดให้ฉันหลงใหล องค์พญาครุฑที่โดดเด่น ดึงสายตาให้หยุด การเดินลอดอุโมงค์ยันต์เป็นจังหวะให้ตั้งจิตอธิษฐาน เส้นทางเดินใต้เงาไม้เป็นมุมธรรมชาติที่ไม่คาดคิดว่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ และเงาแสงที่ลอดผ่านลวดลายยันต์กลายเป็นภาพที่ติดตา หากคุณกำลังมองหาจุดหมายสำหรับออกพรรษาในกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้อยู่ในทริปท่องเที่ยวยอดฮิต วัดประยงค์กิตติวนารามเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า — คุณจะได้ทั้งการสักการะ ความสงบ และภาพที่สวยงามในบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ บทความและรูปภาพทั้งหมดมาจากเพจ The KING เดอะคิงส์ ให้การเดินทางของเราเป็นจุดเริ่มต้นเดินทางของคุณ อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !