ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีปราสาทหลายแห่งที่สร้างขึ้นโดยโชกุน, ขุนนาง ผู้ปกครองเมือง และผู้ปกครองประเทศ ในหลายยุค ตามเมืองสำคัญของประเทศ การก่อสร้างปราสาทโดยส่วนใหญ่มักจะสร้างบนเนินสูง, มีกำแพงแน่นหนา หรือมีแม่น้ำล้อมรอบ วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างปราสาทในอดีตใช้ไม้เป็นหลัก เมื่อเวลาผ่านไป จึงผุพัง ถูกทำลายโดยภัยสงคราม, อัคคีภัย และภัยธรรมชาติ ปราสาทบางแห่งก็ได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่บนพื้นที่เดิม ในปัจจุบันทั่วประเทศญี่ปุ่น มีปราสาทเหลืออยู่ประมาณหนึ่งร้อยแห่ง จากที่มีอยู่ประมาณห้าพันแห่งในอดีต วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับปราสาท 4 แห่ง ที่มีความสำคัญ และเป็นสถานที่ชมซากุระ ที่ชาวญี่ปุ่นนิยม ปราสาทโอซาก้า Osaka Castle เมืองโอซาก้า สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1583 ในสมัยนั้นถือเป็นปราสาทที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ปราสาทเคยถูกทำลายหลายครั้ง ส่วนตัวปราสาทที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1931 ด้านในของปราสาทได้รับการออกแบบ และก่อสร้างแบบสมัยใหม่ รวมทั้ง มีลิฟต์สำหรับขึ้นไปด้านบนหอคอย ปัจจุบันปราสาทโอซาก้าเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดให้เข้าชมทุกวัน สำหรับจุดชมซากุระจะอยู่ที่สวน Nishinomaru มีพื้นที่รวม 2 ตารางกิโลเมตร และมีต้นซากุระปลูกไว้ 600 ต้น ปราสาทฮิเมจิ Himeji Castle ตั้งอยู่บนเนินเขา ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโกะ ปราสาทฮิเมจิเป็นที่รู้จักกันในนาม “ปราสาทนกกระสาขาว” ได้รับการยกย่องว่า เป็นปราสาทที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกของปราสาทที่ดูสง่างาม และเป็นปราสาทเดียวที่ไม่เคยถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นภัยสงคราม การระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2, และภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1995 ปราสาทฮิเมจิได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ รวมถึงในปี ค.ศ. 1993 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างแห่งแรก ๆ ในประเทศญี่ปุ่นที่ได้รับการขึ้นทะเบียน ตัวปราสาทประกอบด้วยอาคารหลายหลัง มีห้องต่าง ๆ รวม 83 ห้อง สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1333 ได้รับการบูรณะในหลายสมัยและหลังจากปิด ปรับปรุงไปหลายปีได้กลับมาเปิดให้เข้าชมอีกครั้งในปี ค.ศ. 2015 สำหรับจุดชมซากุระจะอยู่ที่สวนด้านหน้าและพื้นที่รอบ ๆ ปราสาทที่มีต้นซากุระปลูกไว้ถึง 1,000 ต้น ปราสาทมัตซึโมโตะ Matsumoto Castle เมืองมัตซึโมโตะ จังหวัดนากาโนะ เป็นปราสาทอีกแห่งหนึ่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ สร้างขึ้นมาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ที่ตั้งของปราสาทมัตซึโมโตะ จะอยู่บนพื้นราบซึ่งจะแตกต่างจากปราสาทอื่น ๆ ซึ่งส่วนมากสร้างอยู่บนเนิน หรือมีแม่น้ำล้อมรอบ แต่ปราสาทมัตซึโมโตะ มีระบบป้องกันปราสาทที่แน่นหนาด้วยกำแพงล้อมรอบและหอคอยเฝ้าระวัง เนื่องจากในยุคนั้นบ้านเมืองยังไม่สงบสุข ตัวปราสาทเป็นไม้สีดำ ดูสง่างาม จึงเป็นที่รู้จักกันในนาม “ปราสาทอีกา” สำหรับจุดชมซากุระจะอยู่ที่ริมคลองด้านหน้าปราสาท ที่มีต้นซากุระปลูกไว้หลายพันธุ์รวมกันประมาณ 300 ต้น ปราสาทนาโกย่า Nagoya Castle จังหวัดนาโกย่า สร้างขึ้นในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในช่วงต้นของยุคอีโดะ Edo ถือเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น และเมืองนาโกย่าในยุคนั้นก็ใหญ่เป็นอันดับสี่ของประเทศ ตัวปราสาทถูกทำลายในปี ค.ศ. 1945 และสร้างขึ้นมาใหม่ในปี ค.ศ. 1959 โดยใช้วัสดุและวิธีการก่อสร้างแบบโบราณ ตัวปราสาทบูรณะแล้วเสร็จ และเปิดให้ชมในปี ค.ศ. 2018 หลังจากนี้ทางการของเมืองนาโกย่ามีแผนที่จะปรับปรุงป้อมปราการหลัก ในปี ค.ศ. 2023-2028 ในสวนของปราสาทนาโกย่าปลูกต้นซากุระไว้ 10 พันธุ์ รวม 1,000 ต้น และมีการประดับไฟไว้ ทำให้เราสามารถชมความงามของซากุระหลังพระอาทิตย์ตกดินได้ด้วย ปราสาททั้งสี่แห่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และได้รับการยกย่องว่าเป็นปราสาทที่สวยที่สุดในประเทศ แต่ยังมีปราสาทอีกหลายแห่งในประเทศญี่ปุ่นทั้งที่ได้รับการบูรณะให้กลับมาสวยงาม และบางแห่งเหลือเป็นซากปรักหักพัง แต่ในบริเวณที่ตั้งของปราสาทยังเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เราได้เรียนรู้ถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมา และยังเป็นจุดชมซากุระสวยที่สวยงามไม่แพ้กัน ซึ่งเราจะมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน #เที่ยวต่างประเทศ #เที่ยวญี่ปุ่น ติดตามบทความอื่นจากผู้เขียน ได้ที่ https://creators.trueid.net/@37414