ตามรอยเที่ยว : วันเดียวก็เที่ยวรอบกรุงโรมได้ กรุงโรม แม้ว่าวินาทีแรกที่ผู้เขียนได้สัมผัสบรรยากาศในเมืองกรุงโรมนั้น ผู้เขียนอาจรู้สึกไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่ เนื่องจากโซนแถวใกล้สถานีรถไฟหลัก สถานี Roma Termini นั้นค่อนข้างสกปรก และมีกลิ่นเหม็น แต่ในเมื่อผู้เขียนมาแล้วก็ต้องลองสำรวจกรุงโรมสักหน่อย เมืองประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ในสมัยอดีตโบราณว่าจะมีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน ผู้เขียนได้มาถึงกรุงโรมช่วงค่ำก่อนที่จะพาไปสำรวจกรุงโรมในวันรุ่งขึ้นกัน เนื่องจากกรุงโรมเป็นเมืองที่ยังไม่ได้มีรถไฟฟ้าเชื่อมถึงไปยังแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก การเดินทางภายในโรมนั้นจึงต้องนั่งรถบัส หรือใช้วิธีเดินเท้าเท่านั้น จะมีบางสถานที่ท่องเที่ยวที่มีสถานทีรถไฟเชื่อมถึง ก่อนอื่นผู้เขียนจำเป็นต้องซื้อตั๋วรถบัสกันก่อน ซึ่งเป็นตั๋วใช้ไม่จำกัดภายในเวลา 24 ชม. โดยเริ่มนับเวลาจากบัตรที่เราเริ่มใช้ตั๋ว ผู้เขียนแนะนำว่าสำคัญมากเลย เมื่อเราขึ้นรถบัสครั้งแรกต้องไปตอกบัตรเลยนะคะ เราต้องตอกบัตรเอง หากไม่ตอกบัตรเวลาตำรวจตรวจเจอ ค่าปรับแพงมากค่ะ และตำรวจที่นี้เข้มมากนะคะ ผู้เขียนนั่งรถบัสสายMA 10 จริงๆ มีอีกหลายสายที่ไปได้นะคะ บริเวณหน้าสถานี Roma Termini ซึ่งเป็นจุดจอดของรถบัสมากมาย มาลงป้ายที่ใกล้ อนุสาวรีย์ Victor Emmanuel II Monument ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เมื่อถึงป้ายเราจะรู้เองค่ะ เพราะด้วยสถาปัตยกรรมของอนุสาวรีย์แห่งนี้มันยิ่งใหญ่อลังการและสวยงามมาก จนผู้เขียนต้องตะลึงทันที แว่บแรกที่ผู้เขียนเห็นนั้นรู้สึกชอบและประทับใจมากจริง ๆ ผู้เขียนเริ่มเข้าใจแล้วทำไมนักท่องเที่ยวถึงมาชมสถาปัตยกรรมที่นี้กัน เพราะมันยิ่งใหญ่อลังการมากต้องยอมรับเลย อนุสาวรีย์ Victor Emmanuel II Monument เป็นอาคารหินอ่อนสีขาว ซึ่งได้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของประเทศอิตาลีคือ พระเจ้าวิกเตอร์เอมมานูแอลที่ 2(Victor Emmanuel II of Savoy) หรือชื่อย่อ II Vittoriano ส่วนด้านหน้าในตัวอาคารนั้นมีอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าของพระเจ้าวิกเตอร์ เอมานูเอลที่ 2 ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งประเทศอิตาลี หลังจากนั้นนั่งรถบัสสาย 119 ไปต่อยังปราสาท Castel Sant’Angelo ประมาณ 30 นาที เมื่อถึงป้ายรถบัสนี้จะสังเกตุง่ายทันทีค่ะ ก่อนที่รถเมล์จะจอดผ่านความยิ่งใหญ่ของกรุงวาติกันที่สะกดตามากมาย ป้ายนี้จะเป็นป้ายสิ้นสุดของสายรถเมล์หลายคัน และป้ายนี้มีตำรวจด้วยค่ะ รถเมล์ส่วนใหญ่นั้นที่โดนตำรวจตรวจ รถเมล์จะปิดประตูทางออกด้านหลังให้เหลือเพียงด้านหน้าเป็นทางออกทางเดียว แล้วตำรวจจะขึ้นมาตรวจบัตรทีละคนค่ะ หากใครไม่มีบัตรหรือมีบัตรแล้วไม่ตอก ก็จะโดนปรับถึง 105 ยูโรต่อคนเลยทีเดียว เมื่อเราลงป้ายแล้วเราเดินมาเที่ยวปราสาท ปราสาท Castel Sant’Angelo กันดีกว่าซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ป้ายรถเมล์นี้เอง ปราสาทแห่งนี้มีความหมายว่า “ปราสาทแห่งทูตสวรรค์” เนื่องจากว่าเคยเกิดโรคระบาดอย่างหนัก ระหว่างที่พระสันตะปาปากำลังข้ามสะพานที่ด้านหน้าสุสานจักรพรรดิเฮเดรียนก็ได้เห็นนิมิตเป็นฑูตสวรรค์ไมเคิลถือดาบอยู่เหนือป้อมปราการ มีลักษณะเป็นป้อมปราการล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน สร้างขึ้นครั้งแรกเพื่อเป็นสุสานของจักรพรรดิเฮเดรียนในปี ค.ศ. 139 เราเดินต่อไปก็จะเห็นสะพาน Ponte Sant’Angelo ซึ่งอยู่ใกล้ปราสาทนี่เอง โดยปราสาทแห่งนี้จะตกแต่งด้วยรูปปั้นของเหล่าเทวดาที่ออกแบบโดยแบร์นีนี่ ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยของจักรพรรดิเฮเดรียนเพื่อข้ามแม่น้ำไปยังสุสานประจำพระองค์ จากนั้นผู้เขียนเดินต่อไปยังมหาวิหาร Pantheon ซึ่งระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 15 นาที มหาวิหารแห่งนี้ได้ยินมาว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ หากใครเคยมาขอพรที่นี้ก็จะได้รับความสำเร็จตามสิ่งที่ขอด้วยค่ะ ซึ่งเคยเป็นสถานที่บูชาเหล่าเทพเจ้าของชาวโรมันมาหลายร้อยปีจนเมื่อถึงปี ค.ศ.608 เปลี่ยนมาเป็นโบสถ์ในศาสนาคริสต์ชื่อว่า Basilica di Santa Maria ad Martyes ซึ่งผู้ก่อสร้างวิหารแพนธีออนคนแรกเมื่อ 27 ปีก่อนคริสตกาลคือ Marcus Agrippa เป็นบุตรเขตของจักรพรรดิออกัสตัส มหาวิหารแห่งนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่หนาแน่นเช่นกัน ผู้เขียนเดินต่อไปยังน้ำพุเทรวี่ Trevi Fountain ซึ่งอยู่ใกล้เพียง 650 เมตรใช้เวลา 8 นาที ขอบอกว่าน้ำพุเทรวีสวยงามมาก และยิ่งใหญ่อลังการเช่นกัน แม้จะบริเวณน้ำพุนี้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว แต่ด้วยความยิ่งใหญ่และสวยงามทำให้ผู้เขียนหลงรักได้เลย น้ำพุแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของกรุงโรม ซึ่งโดดเด่นด้วยรูปสลักของเทพเจ้าเนปจูนผู้เป็นเจ้าแห่งทะเล ทั้งนี้นักท่องเที่ยวนิยมมาโยนเหรียญข้ามไหล่ของตนเองเพื่ออธิษฐานให้กลับมากรุงโรมอีกครั้ง ผู้เขียนยังไหวอยู่ค่ะ เดินต่อไปได้อีกเพื่อไปยังที่น้ำพุสี่ทิศ Le Quattro Fontane ซึ่งไม่ไกลเช่นกันไปต่ออีกประมาณ 700 เมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาทีเอง ตอนแรกผู้เขียนเดินไปถึงก็ยังงง ๆ ว่ามันอยู่ตรงไหน แต่ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นบริเวณแต่ละมุมสี่แยกถนน ก็มีรูปปั้นทั้งสี่อยู่ตรงมุมถนน ผู้เขียนจึงมั่นใจนี้แหละใช่เลย ซึ่งน้ำพุสี่ทิศอยู่ที่มุมของอาคารทั้งสี่บนจุดตัดระหว่างถนน Via della Quattro Fontane กับถนน Via del Quirinale โดยมีน้ำพุไทเบอร์ (Tiber) เป็นรูปปั้นเทพเจ้ากับหมาป่า เป็นสัญลักษณ์ของกรุงโรม น้ำพุอาร์โน (Amo) เป็นรูปปั้นเทพเจ้ากับสิงโต เป็นสัญลักษณ์ของเมืองฟลอเร้นซ์ น้ำพุจูโน (Juno) เป็นรูปปั้นเทพีจูโนกับนกยูงและหัวสิงโต และน้ำพุไดอาน่า (Diana) เป็นรูปปั้นเทพีไดอะน่ากับสุนัขล่าสัตว์ จากนั้นผู้เขียนเดินต่อประมาณ 450 เมตรเพื่อไปยังโบสถ์ Santa Maria della Vittoria ซึ่งเป็นโบสถ์ตั้งอยู่เขต Piazza della Repubblica โบสถ์แห่งนี้มีความงดงามและมีชื่อเสียงด้วยผลงานศิลปะชิ้นเอกของแบร์นีชื่อว่า The Ecstasy of St. Teresa หากใครเริ่มเมื่อยและเหนื่อยแล้วก็สามารถนั่งรถไฟได้นะคะจากจุดนี้เดินขึ้นไปนั่งรถไฟสถานี Repubblica เพื่อไปลงสถานี Spagna เพียง 2 สถานีเท่านั้น แล้วเดินต่อแค่ 120 เมตรไปยังบันไดสเปน (Spanish Steps) บันไดสเปนจะเป็นบันไดที่มีชื่อเสียงที่สุดในกรุงโรม โดยมี 137 ขั้น และรอบไปด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ผู้ที่คิดการสร้างบันไดสเปนนี้คือเจ้าของโบสถ์ชาวฝรั่งเศส และได้รับการออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี Francesco de Sanctis บริเวณนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวมากมาย และเป็นแหล่งช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมอีกด้วยค่ะ แม้จะเริ่มมืดแล้ว หากยังไม่จุใจไปต่อกันที่โบสถ์คู่แฝด Santa Maria dei Miracoli และ Santa Maria in Montesanto จะนั่งรถไฟหรือเดินก็ได้ หากนั่งรถไฟก็ไปลงสถานี Flaminio โดยโบสถ์นี้ได้รับการออกแบบจาก Carlo Rainaldi เป็นศิลปินร่วมสมัยกับแบร์นีนี่และเบอร์รอมินี่ และที่สุดท้ายที่ผู้เขียนเลือกไปก็คือ โคลอสเซียม (Colosseum) ก่อนที่จะไปผู้เขียนกลับไปอาบน้ำที่โรมแรมก่อนแล้วไปกันเลย ทำไมถึงเลือกไปที่สุดท้าย เพราะตอนที่ผู้เขียนเช็คอินที่โรงแรม เจ้าของโรงแรมแนะนำให้ไปเที่ยวตอนกลางคืนค่ะ แม้ว่าตอนกลางวันจะสามารถเข้าไปชมภายในโคลอสเซียมได้ แต่ตอนกลางคืนคุณสามารถจะไปถ่ายรูปกับโคลอสเซียมที่สวยงามได้อีกแบบ โคลอสเซียม จะเป็นอัฒจันทร์กลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่กรุงโรมเคยมีมา สามารถบรรจุคนได้ถึง 5 หมื่นคน ในสมัยก่อนนั้นใช้โคลอสเซียมในการต่อสู้เพื่อความบันเทิง เป็นสถานที่ต่อสู้ของแกลดิเอเตอร์และสัตว์ดุร้ายเพื่อให้ความบันเทิงแก่ชาวโรมันค่ะ เครรูปภาพ : ภาพหน้าปก ขอบคุณpixabay, ภาพประกอบที่ 1-6 โดยผู้เขียน, ภาพประกอบที่ 7 ขอบคุณpixabay, ภาพประกอบที่ 8-12 โดยผู้เขียน, ภาพปรพกอบที่ 13 ขอบคุณpixabay, ภาพประกอบที่ 14-18 โดยผู้เขียน, ภาพประกอบที่ 19 ขอบคุณpixabay,ภาพประกอบที่ 20-24 โดยผู้เขียน