การมาเยือนวัดในเมืองใหญ่เช่นชลบุรี หลายคนอาจนึกถึงเสียงรถรา ความวุ่นวายของชุมชน หรือบรรยากาศที่ไม่ค่อยเข้ากับความสงบของศาสนสถาน แต่ทันทีที่ก้าวเข้าสู่ “วัดอู่ตะเภา” ความรู้สึกนั้นกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง — จากเสียงรถกลายเป็นเสียงลมพัดผ่านใบโพธิ์ จากความรีบเร่งกลายเป็นจังหวะช้า ๆ ของใจที่ค่อย ๆ สงบลง จุดเริ่มต้นของการเดินทาง เช้าที่อากาศปลอดโปร่ง การเดินทางจากตัวเมืองชลบุรีมายังตำบลหนองไม้แดงใช้เวลาไม่นาน เส้นทางผ่านชุมชนขนาดเล็ก ร้านขายของชำ บ้านเรือนเรียงราย และเสียงเด็ก ๆ วิ่งเล่นอยู่ข้างทาง ถนนที่นำเข้าสู่วัดแม้ไม่กว้างนัก แต่ร่มรื่น มีต้นไม้สองข้างทาง บางช่วงได้กลิ่นธูปอ่อน ๆ ลอยมากับสายลม เหมือนเป็นสัญญาณว่าจุดหมายใกล้เข้ามา เมื่อผ่านซุ้มประตูวัดสีทองอร่าม จะเห็นป้ายขนาดใหญ่เขียนว่า “วัดอู่ตะเภา ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี” เพียงแค่ชื่อก็สะดุดใจ “อู่ตะเภา” ฟังดูเหมือนชื่อที่มีเรื่องราว บ้างกล่าวว่าในอดีตพื้นที่นี้เคยเป็นอู่ต่อเรือหรือจุดพักเรือ จึงนำคำว่า “อู่ตะเภา” มาตั้งเป็นชื่อวัด ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปภายในจะเข้าใจได้ทันทีว่าทำไม “เรือ” จึงกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของที่นี้ โบสถ์เรือสำเภา สิ่งแรกที่สะดุดตาจากลานกว้างคือ “โบสถ์ฐานเรือสำเภา” ตัวโบสถ์ตั้งอยู่กลางลานที่มีสระน้ำล้อมรอบ ราวกับลอยอยู่บนผืนน้ำ ฐานของอาคารออกแบบเป็นรูป “เรือสำเภา” อย่างสมบูรณ์แบบ มีหัวเรือและท้ายเรือยกโค้ง เส้นสายเรียบง่ายแต่สง่างาม สีทองของตัวโบสถ์สะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเช้า ดูราวกับเรือสำเภากำลังแล่นอยู่ในทะเลแห่งแสงสว่าง เมื่อก้าวขึ้นบันไดสู่โบสถ์ ลมพัดผ่านผิวน้ำ เสียงคลื่นเล็ก ๆ กระทบขอบสระ คล้ายเสียงทะเลในเมืองชลบุรี ภายในโบสถ์ประดิษฐาน “หลวงพ่อชาย” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด ผู้คนทยอยเข้ามากราบไหว้ จุดธูปเทียน บางคนพนมมือหลับตา บางคนยืนสงบนิ่ง ภายในบรรยากาศเงียบสงบและเย็นใจ ภาพเรือที่รองรับโบสถ์ไว้เสมือนสื่อถึงชีวิตของมนุษย์ — ต้องล่องไปตามกระแสของโลก แต่หากมี “ศรัทธา” เป็นเสาเรือ ชีวิตก็จะไม่ล่มกลางทาง เจดีย์องค์ใหญ่ ไม่ไกลจากโบสถ์คือ เจดีย์องค์ใหญ่สีทอง ตั้งตระหง่านกลางวัด เมื่อแสงแดดกระทบยอดเจดีย์จนสว่างวาบ เกิดภาพงดงามชวนให้หยุดมองอย่างไม่รู้ตัว ในช่วงงานบุญใหญ่ วัดแห่งนี้จะจัดกิจกรรม “ผ้าป่าลอยฟ้า” ธนบัตรที่เย็บต่อกันเป็นแถวยาวจากยอดเจดีย์ลงมาถึงพื้น เมื่อสายลมพัด ธนบัตรจะพลิ้วไหวดุจสายน้ำแห่งบุญที่ไหลลงมาจากฟ้า กลิ่นธูปและดอกไม้ลอยอบอวลไปทั่ว เมื่อเงยหน้ามองยอดเจดีย์ เหมือนกำลังมองขึ้นไปยังความหวังของชีวิต — ความดีที่ทำอาจไม่เห็นผลในทันที แต่สุดท้ายย่อมย้อนกลับมาสู่ใจเราเสมอ พระพุทธไสยาสน์ บริเวณด้านหลังของวัดเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ องค์พระนอนตะแคงขวาอยู่ท่ามกลางลานโล่ง รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ใบโพธิ์ร่วงลงมาทีละใบ เสียงกรอบแกรบเบา ๆ ท่ามกลางสายลม บรรยากาศโดยรอบนิ่งสงบจนเหมือนเวลาหยุดเดิน พระพุทธไสยาสน์มักสื่อถึง “การพักผ่อนของจิต” ผู้คนมักมาอธิษฐานเพื่อให้ใจสงบ หรือวางภาระของชีวิตไว้ชั่วคราว เพียงยกมือขึ้นไหว้เบา ๆ ก็รู้สึกเหมือนได้วางความเหนื่อยไว้ตรงปลายเท้าขององค์พระ ท้าวเวสสุวรรณ 3 องค์ ใกล้กันนั้นมี ศาลาท้าวเวสสุวรรณ ตั้งอยู่โดดเด่น ภายในประดิษฐานท้าวเวสสุวรรณ 3 องค์ — สีแดง, สีน้ำเงิน และสีดำ แต่ละองค์ตั้งสง่า มือถือกระบอง หน้าตาดุดันแต่เปี่ยมด้วยพลัง ผู้คนมักมากราบขอพรเรื่องโชคลาภ การงาน และการคุ้มครองจากสิ่งไม่ดี เสียงสวดมนต์เบา ๆ ดังแว่วจากลำโพง สลับกับเสียงระฆังที่ผู้มาทำบุญเคาะถวายสังฆทาน บ่อยครั้งจะเห็นภาพครอบครัวมากราบไหว้ด้วยกัน เด็ก ๆ พนมมือแนบอก แม่กระซิบขอพรให้ลูกเรียนเก่ง เป็นภาพเรียบง่ายที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและศรัทธา บรรยากาศรอบวัด แม้อยู่ในเขตเมือง แต่พื้นที่ภายในวัดกลับร่มรื่นและสงบ มีต้นไม้ใหญ่รายรอบ เสียงนก เสียงลม และกลิ่นหญ้าเปียกน้ำยามเช้าช่วยให้รู้สึกเหมือนอยู่นอกเมือง ภายในมีลานกว้างสำหรับจอดรถ ศาลาไม้สำหรับนั่งพัก และบ่อเลี้ยงปลาที่ชาวบ้านมักนำอาหารมาให้ เด็ก ๆ หัวเราะอย่างสนุกสนาน น้ำกระเซ็นเป็นวง สร้างภาพชีวิตที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความสุข ใช้เวลาเดินชมรอบวัดประมาณหนึ่งชั่วโมง ความสงบและความเบาสบายของใจค่อย ๆ แผ่ซ่านไปในทุกก้าว มุมถ่ายภาพแนะนำ 1. โบสถ์เรือสำเภากลางน้ำ — มุมยอดนิยม ถ่ายจากมุมเฉียงให้เห็นเรือทั้งลำพร้อมเงาสะท้อนในน้ำ 2. เจดีย์ใหญ่กับท้องฟ้า — ถ่ายช่วงเช้าหรือเย็น แสงจะตกกระทบสวยงามมาก 3. พระพุทธไสยาสน์กับใบโพธิ์ — ให้บรรยากาศสงบ ลึกซึ้ง และเป็นธรรมชาติ 4. ท้าวเวสสุวรรณสามสี — สีตัดกันสวยงาม เหมาะสำหรับผู้ศรัทธาสายมู 5. ภาพสะท้อนน้ำรอบโบสถ์ — ถ่ายช่วงแดดอ่อน เงาจะชัดเจนและงดงาม ความประทับใจหลังการเยือน “วัดอู่ตะเภา” เป็นวัดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใหญ่โตโอ่อ่าจนรู้สึกห่างไกล และไม่เล็กจนรู้สึกธรรมดา มีความสมดุลระหว่าง “ความงามทางศิลปะ” กับ “ความสงบของจิตใจ” โบสถ์เรือสำเภาให้แรงบันดาลใจว่า “ชีวิตคือการเดินทางที่ต้องมีศรัทธาเป็นเรือ และความดีเป็นลมพัดนำ” เจดีย์องค์ใหญ่กับผ้าป่าลอยฟ้าสอนว่า “บุญไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน แต่อยู่ที่แรงใจที่ส่งไปถึงฟ้า” ส่วนพระพุทธไสยาสน์เตือนใจว่า “บางครั้งการหยุดนิ่ง ก็เป็นการก้าวที่ไกลที่สุด”เมื่อเดินออกจากวัดในยามเที่ยง ลมยังพัดผ่านต้นโพธิ์ เสียงระฆังดังกังวานแผ่ว ๆ อยู่ไกล ๆ แสงแดดส่องกระทบฐานเรือทองคำของโบสถ์ สะท้อนงามราวกับเรือลำนี้กำลังแล่นต่อไปในทะเลแห่งกาลเวลา บทสรุปส่งท้าย “วัดอู่ตะเภา” ไม่ใช่เพียงวัดหนึ่งในเมืองชลบุรี แต่คือ “เรือแห่งศรัทธา” ที่ล่องอยู่ท่ามกลางคลื่นชีวิตของผู้คน หากวันใดรู้สึกเหนื่อย ลองแวะมานั่งเงียบ ๆ ข้างโบสถ์เรือสำเภา ฟังเสียงลม เสียงระฆัง และปล่อยใจให้ลอยไปกับสายน้ำแห่งความสงบ บางที... คำตอบของชีวิต อาจอยู่ในความเงียบตรงนั้นเอง #วัดอู่ตะเภา #ชลบุรี #วัดสวยภาคตะวันออก #โบสถ์เรือสำเภา #เที่ยวทำบุญ ----- เครดิตภาพ : เจ้าของบทความ อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !