Pingtung (ผิงตง) เป็นเมืองที่อยู่ใต้สุดของไต้หวัน เมืองที่ติดแถบชายทะเล ผู้คนแถวนั้นก็น่ารัก ทุกคนใช้ชีวิตไม่เร่งรีบเหมือนเมืองใหญ่อย่างไทเป การเดินทางไปเมืองผิงตงก็ไม่ยากอย่างที่คิด แค่นั่งเครื่องไปลงที่เกาสง (Kaohsiung) แล้วต่อรถไฟไปเมืองผิงตง ใช้เวลาแค่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว(ราคาแล้วเวลาแล้วแต่ขบวนรถไฟที่เราเลือก ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 60 NT$) แล้วการเดินทางจากเมืองผิงตงไป Shan-Chuan Glass Suspension Bridge ก็ไม่ยากเช่นกัน พอลงรถไฟปุ๊บ ก็มาขึ้นรถเมล์ เราแนะนำให้โหลดแอพ iBus เอาไว้นะ จะได้เอาไว้ดูรอบรถเมล์แล้วก็ดูสายรถเมล์ที่เราจะขึ้นได้ แล้วก็ยังดูเวลาได้ด้วยว่าอีกกี่นาทีรถเมล์ถึงจะมา สะดวกสบายมากเว่อร์ แล้วก็ไม่ต้องกลัวหลงหรือเลยป้าย เพราะบนรถเมล์มีบอกว่าตอนนี้ถึงไหน ป้ายหน้าคือที่ไหน มีบอกหมด สายรถเมล์ที่จะไป Shan-Chuan Glass Suspension Bridge (เราขอเรียกว่า สะพายชานชวน แล้วกันนะ) ก็ขึ้นได้ที่ Pingtung bus station เลย มันจะอยู่ติดกับสถานีรถไฟเลยนะ เดินตามป้ายมาก็จะเจอเลย ขึ้นรถเมล์สาย 509 จาก Pingtung bus station ไปลงที่หน้ามอ National Pingtung University of Science and Technology (คนแถวนั้นเค้าเรียกว่า ผิงเคอต้า) ใช้เวลาประมาณ 40 นาที แล้วขึ้นรถเมล์ 8231 มุ่งตรงไปสุดสาย จะไปถึงที่หมายเลยจ้า Shan-Chuan Glass Suspension Bridge จะอยู่ที่เดียวกับ Taiwan Indigenous Culture Park เลยนะ อารมณ์ก็จะประมาณหมู่บ้านชนเผ่าเหมยหนง เป็นชนเผ่าของไต้หวันที่อยู่ในพื้นที่แถวนั้นมานานแล้ว แล้วเค้าก็จัดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่นี่มีคนไต้หวันมาเที่ยวเยอะมากๆ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เรียกได้ว่าไม่เจอเลยจะดีกว่า ด้านในหมู่บ้านก็จะมีกิจกรรมให้ทำเยอะแยะมากมาย ทางเดินศึกษาธรรมชาติ มีขายเครื่องรางต่างๆ ทำแทททูบนผิว(เป็นแทททูที่ล้างออกได้นะ เค้าให้ทำฟรี) ชาวบ้านในนั้นก็น่ารัก พูดคุยภาษาอังกฤษได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่เค้าก็พยายามคุยกับพวกเรานะ กลับมาที่สะพานชานชวนจุดที่ถ่ายรูปแล้วสวยมากกกกกกดีกว่า เดี๋ยวจะไปไกล ไม่ถึงสะพานสักที ก่อนเข้าเราต้องเสียค่าข้ามสะพานกันก่อน คนละประมาณ 50 NT$ ต้องซื้อทั้งไปและกลับนะ เพราะเราต้องกลับมาขึ้นรถกลับเมืองที่เดิม สะพานชานชวนเป็นสะพานที่ยาวววววมาก ยาวทั้งหมด 263 เมตร สูงอีก 45 เมตร เลยทีเดียว ถือว่ายาวและสูงมาก ใช้ข้ามแม่น้ำอะไร เราไม่มั่นใจ แต่เป็นแม่น้ำที่แทบจะไม่มีน้ำอยู่เลย ตอนขาไป คนเยอะมากกก ต้องแย่งกันถ่ายรูป แต่ถ่ายยังไงก็ติดคนทุกรูป เราเลยไม่สู้แล้ว ข้ามไปให้ถึงฝั่งก่อนดีกว่า (อ้อ ลืมบอกไปว่าตอนเดินข้ามสะพานไม่ค่อยโคลงเคลงเท่าไหร่นะ เดินได้สบายเลย) พอขึ้นมาอีกฝั่งก็เดินตามป้ายมาเรื่อยๆ เราสนใจป้ายไหนก็เดินตามป้ายนั้นเลย 555 ระหว่างทางมีของกินบ้างประปราย สำหรับใครที่หิวๆ ก็หาของกินแถวนี้รองท้องก่อนได้เลย เดินมาสักพักเราก็ถึงที่หมาย ที่นี่เป็นเหมือนสถานที่ไว้สำหรับสายมูโดยเฉพาะ เพราะที่นี่มีเครื่องรางเยอะมาก เป็นเหมือนของชนเผ่าของที่นั่นอะ ใครสนใจอยากมูเรื่องอะไรก็เลือดเอาเลย มีให้เลือกทุกสาย ทั้งความรัก การงาน การเงิน การเรียน โชคลาภ มีหมด พอเราเลือกไปได้สักพักก็ต้องกลับแล้ว เพราะเหมือนเราจะเพลินไปหน่อย ใช้เวลานานไปนิด ขากลับตอนแรกเราตกใจมาก ทำไมไม่มีคนบนสะพานเลย เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า(พอไปถึงฝั่งถึงได้รู้ว่า เค้าเปิดเป็นรอบๆ แล้วตอนนั้นก็กำลังรอเวลาจะเปิดรอบใหม่อยู่ เลยไม่มีคน) แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร อิ่มเอมกับการถ่ายรูปฟินๆกันไปเลย เพราะถ่ายยังไงก็ไม่มีใครมาให้กวนใจ ขากลับก็นั่งรถสายเดิมกลับได้เลย มีรถจอดรออยู่ที่เดิมที่เราลงรถเลย ทริปวันนี้ถือว่าเป็นการนั่งรถที่แอบจะยาวนานนนน แต่พอถึงที่หมายแล้วก็รู้สึกคุ้มค่ากับการเมื่อยตูด เราได้เห็นทั้งวัฒนธรรมของชาวไต้หวันดั้งเดิม วิวสองข้างระหว่างนั่งรถมาก็ชิวมาก ผู้คนต่างก็ใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองอย่างไม่เร่งรีบ หลายคนก็ยิ้มแย้ม หัวเราะให้กัน ดูแล้วเป็นภาพที่มีความสุข หากใครที่กำลังเบื่อความวุ่นวายในไทเป ไม่อยากใช้ชีวิตเร่งรีบ อยากให้ลองมาใช้ชีวิต slow life ที่เมืองผิงตงดูสักวันสองวัน แล้วคุณจะได้รู้จักไต้หวันมากขึ้น