10 ประเทศร่ำรวยที่สุดในโลก ลักเซมเบิร์กขึ้นแท่นประเทศเล็กแต่รายได้สูง
เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินกันมานานแล้ว ว่าการที่จะวัดความมั่งคั่งของประเทศใดประเทศหนึ่งนั้น คงไม่สามารถวัดได้จากการที่ว่าในประเทศนั้นมีมหาเศรษฐีอยู่กี่คน เราจึงต้องใช้ค่า GDP (Gross Domestic Product) หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเป็นตัววัดแทน ต่อไปนี้คือ 10 อันดับประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ดังต่อไปนี้
10 ประเทศร่ำรวยที่สุดในโลก
1. Luxembourg ลักเซมเบิร์ก
จำนวนประชากร : 629,191
GDP ต่อหัว : $120,962.2
ลักเซมเบิร์ก เป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ประชาชนมีรายได้สูง และมีอัตราการว่างงานต่ำ ด้วยอัตราเงินเฟ้อเพียง 1.1% ปัจจัยหลักที่ทำให้ประเทศนี้มี GDP สูงคือผู้คนจำนวนมากทำงานในประเทศ มีตลาดแรงงานเป็นจำนวนมาก ดึงดูดให้บริษัทใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาลงทุน นอกจากนี้ยังมีแรงงานที่มีการศึกษามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีทักษะสูงและสามารถพูดได้หลายภาษา ลักเซมเบิร์กเจริญรุ่งเรืองจากหลากหลายอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่มาจากเศรษฐกิจนำเข้าและส่งออก
2. Singapore สิงคโปร์
จำนวนประชากร : 5,866,407
GDP ต่อหัว : $101,936.7
แม้จะไม่มีทรัพยากรธรรมชาติในประเทศ แต่ด้วยความที่ สิงคโปร์ เป็นประเทศที่ผู้คนทำงานหนัก และใช้ความคิดสร้างสรรค์จนเปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสองของโลก เป็นศูนย์กลางระดับโลกของบริษัทที่ให้บริการทางการเงิน ในขณะที่สินค้าส่งออกหลักของประเทศคืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีชีวภาพ และเคมีภัณฑ์ต่างๆ นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวนับล้านได้ทุกปีด้วย
3. Qatar กาตาร์
จำนวนประชากร : 2,899,617
GDP ต่อหัว : $93,851.7
จากห้าสิบปีก่อน ประเทศกาตาร์ มีเพียงอุตสาหกรรมประมงขนาดเล็ก และแทบไม่มีโรงเรียนเลย ปัจจุบันได้กลายเป็นศูนย์กลางการส่งออกน้ำมันที่สำคัญของโลกในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา กาตาร์เริ่มส่งออกก๊าซธรรมชาติจำนวนมากครั้งแรกในปี 1997 ไปยังญี่ปุ่น สเปน และขยายไปยังประเทศอื่นๆ กาตาร์มีก๊าซธรรมชาติสำรองที่ใหญ่ที่สุดในโลก รองจากรัสเซีย และอิหร่าน จากนั้นรายได้บางส่วนถูกนำมาใช้เพื่อปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยขึ้น รวมถึงโครงการทางสังคม ที่อยู่อาศัย สุขภาพ การศึกษา และเงินบำนาญ
4. Ireland ไอร์แลนด์
จำนวนประชากร : 4,953,494
GDP ต่อหัว : $87,212.0
ไอร์แลนด์ เป็นประเทศที่มีการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลที่ต่ำมาก จึงดึงดูดให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนและขยายธุรกิจที่นี่ ส่งผลให้เกิด GDP และมาตรฐานการครองชีพที่สูงสำหรับประชาชน สินค้าส่งออกหลักของประเทศประกอบด้วยโลหะ และผลิตภัณฑ์อาหาร รวมทั้งการกลั่นเบียร์ คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และสิ่งทอต่างๆ
5. Switzerland สวิตเซอร์แลนด์
จำนวนประชากร : 8,675,923
GDP ต่อหัว : $70,276.6
สวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชาชนความสุข และมีสุขภาพดีที่สุดในโลกติดอันดับต้นๆ เสมอมา พลเมืองที่นี่พูดได้ทั้งภาษาเยอรมัน ฝรั่งเศส และอิตาเลียน แม้จะมีค่าครองชีพสูง ข้าวของเครื่องใช้ และบริการมีราคาแพง แต่ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามามีส่วนร่วมกับประเทศนี้ผ่านธุรกิจหรือการท่องเที่ยว ด้วยเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ มูลค่าสกุลเงินคงที่ สวิตเซอร์แลนด์จึงได้รับการยกย่องอย่างสูงจากนักลงทุนที่มองหาที่หลบภัยสำหรับความมั่งคั่งของตน นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่มีคุณภาพเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เช่น ช็อกโกแลต ชีส เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์ที่มีความต้องการสูง การส่งออกมีส่วนสำคัญต่อ GDP ของประเทศมากที่สุด โดยอัญมณี และโลหะมีค่าทำรายได้เกือบ 100 พันล้านดอลลาร์ต่อปี รองลงมาคือยาและเครื่องจักร ภูเขา รวมถึงเสน่ห์ของเมือง และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายก็ดึงดูดให้มีนักท่องเที่ยวหลายล้านคนทุกปี
6. United Arab Emirates สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
จำนวนประชากร : 9,926,221
GDP ต่อหัว : $69,957.6
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่ก่อนนั้นเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องอุตสาหกรรมไข่มุก ช่วงปลายทศวรรษที่ 1930 การดำน้ำเก็บมุก กลายเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ หลังจากนั้นก็เริ่มมีการสร้างรีสอร์ทหรูหราเปลี่ยนประเทศสู่อุสาหกรรมการท่องเที่ยว กระทั่งการค้นพบน้ำมันในช่วงปลายทศวรรษ 1950 จึงเข้าสู่ยุคที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
7. Norway นอร์เวย์
จำนวนประชากร : 5,435,878
GDP ต่อหัว : $67,978.7
นอร์เวย์ เป็นที่รู้จักว่าเป็นประเทศที่มาตรฐานการครองชีพที่สูงที่สุดในโลก และอยู่ในอันดับต้นๆ ของดัชนีด้านการพัฒนามนุษย์ ด้วยระบบการศึกษาขั้นสูง ระบบประกันสังคมที่แตกต่าง และการดูแลสุขภาพถ้วนหน้า การส่งออกทรัพยากรน้ำมัน และก๊าซดิบ ในขณะที่ปริมาณสำรองที่มีอยู่ก็มากพอที่จะรับประกันความมั่งคั่งในอนาคต รวมถึงอาหารทะเล พลังงานน้ำ ไม้แปรรูป แร่ธาตุ ก๊าซธรรมชาติ และน้ำจืด ปิโตรเลียมก็เป็นสินค้าส่งออกอีกชนิดหนึ่งที่นำความมั่งคั่งมาสู่นอร์เวย์มาตั้งแต่ปี 1970 รัฐบาลนอร์เวย์ยังลงทุนในด้านการศึกษาฟรีสำหรับพลเมืองสูงมากอีกด้วย
8. United States
จำนวนประชากร : 331,643,466
GDP ต่อหัว : $65,279.5
ด้วยที่ดินอันอุดมไปด้วยทรัพยากร และเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง สามารถจัดหาพลังงาน น้ำมัน และก๊าซได้สูงมาก มีขนาดเศรษฐกิจ และอัตราการเติบโตของจีดีพีที่แทบไม่มีประเทศอื่นเทียบได้ อเมริกามีแนวความคิดแบบเน้นให้มีผู้ประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนตั้งแต่อายุยังน้อย และได้รับการสนับสนุนจากโครงการต่างๆ ของมหาวิทยาลัย และสถาบันวิจัย นอกจากนี้ยังมีระบบการเงินที่พัฒนาแล้วแทนเงินทุนหมุนเวียน และระบบธนาคารแบบกระจายอำนาจที่สนับสนุนกิจกรรมของผู้ประกอบการ
9. Brunei บรูไน
จำนวนประชากร : 438,788
GDP ต่อหัว : $64,724.1
หลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1984 ประเทศเล็กๆ อย่าง บรูไน ก็เติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ภายใต้การปกครองของสุลต่านที่ควบคุมทุกอย่างตั้งแต่กองทัพจนถึงเศรษฐกิจ ให้การศึกษา และการรักษาพยาบาลฟรีสำหรับพลเมือง โดยประชาชนชาวบรูไนมีอัตราการรู้หนังสือมากกว่า 97% บรูไนเป็นที่รู้จักในฐานะประเทศที่มีความสุขที่สุดเป็นอันดับสองในทวีปรองจากสิงคโปร์
10. San Marino ซาน มาริโน
จำนวนประชากร : 33,931
GDP ต่อหัว : $61,006.8
ซานมาริโน เป็นประเทศเกษตรกรรมผลิตชีส และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร พร้อมกับเครื่องประดับเล็ก ๆ ที่ทำจากหิน นอกจากนี้การส่งออกผลไม้ยังเป็นปัจจัยในการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงที่ผ่านมาอีกด้วย ระบบธนาคารของซานมาริโนยังรวมเข้ากับสหภาพยุโรป แม้ว่าค่าครองชีพในซานมาริโนจะเทียบได้กับอิตาลี แต่การกระจายความมั่งคั่งในสังคมทำให้มีอัตราความยากจนต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อีกทั้งจำนวนประชากรที่ต่ำ และมีนักเดินทางเกือบ 3.5 ล้านคนต่อปี จีดีพีของประเทศมากกว่าครึ่งหนึ่งจึงนับว่ามาจากภาคการท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้
====================