กำเนิดกาฬโรค The Black Death โรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดของมนุษยชาติ
ถ้าให้ลองคิดกันเร็วๆ ว่า อะไรที่ทำให้มนุษย์ล้มหายตายจากเป็นจำนวนมากที่สุดในโลก เราคงตอบได้ว่าเป็นอาวุธนิวเคลียร์ สงครามโลก หรือภัยธรรมชาติร้ายแรงอย่างสึนามิหรือแผ่นดินไหว แต่คำตอบที่แท้จริงกลับเป็นอะไรที่อยู่คู่กับมนุษย์มาช้านาน และคงไม่มีวันจากเราไปไหน "โรคระบาด" นั่นเอง
และหนึ่งในเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าเกือบถึงขั้นทำให้สังคมมนุษย์ล่มสลายได้เลย นั่นก็คือBlack Death หรือ "กาฬโรค" (Plague) ยมทูตสีดำที่ครั้งหนึ่งระบาดไปหลายภูมิภาคตั้งแต่ยุโรปมาจนถึงเอเชีย โดยต้นตอนั้นมาจากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เรียกว่า "หมัด" และ "หนู" เท่านั้นเอง แต่ก็คร่าชีวิตผู้คนไปถึง 200 ล้านคน ทั่วโลก
ถ้าพร้อมแล้วเริ่มทำความรู้จักกับกาฬโรคสีดำนี้กันดีกว่าครับ
พาหะของมรณะสีดำ กาฬโรค
Public Domain
เชื้อของโรคเกิดจากแบคทีเรีย ชื่อว่า “เยอร์ซิเนีย เปสติส” (Yersinia pestis ตั้งชื่อตามแพทย์ชาวฝรั่งเศส Alexandre Emile Jean Yersin ผู้ค้นพบเชื้อชนิดนี้) ซึ่งติดต่อมาสู่คนได้โดยหมัดที่อาศัยอยู่บนตัวหนูที่เป็นโรค แล้วหมัดก็กัดคนโดยที่แพร่เชื้อเข้าทางแผล ทั้งนี้ เชื้อยังสามารถแพร่ได้ทั้งทางอากาศ การสัมผัสโดยตรง และรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อด้วย
ในสมัยก่อนนั้นเราก็น่าจะพอนึกสภาพบ้านเมืองออกใช่ไหมล่ะครับ ด้วยระบบสาธารณสุขที่ยังไม่ได้ดีเหมือนยุคนี้ ผู้คนยังไม่ตระหนักเรื่องสุขอนามัย และอาศัยกันอยู่อย่างแออัด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีหนูเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมในชุมชน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แม้จะเริ่มมาจากหมัดหนู แต่เชื้อนั้นจะกระจายจากคนสู่คน ได้เร็วกว่าจากสัตว์สู่คน นี่จึงเป็นสาเหตุให้มีประชากรล้มตายเป็นจำนวนมาก
อาการของผู้ติดเชื้อ
กาฬโรคนั้นจะเริ่มแสดงอาการหลังจากที่ถูกหมัดกัดไปแล้วประมาณ 2-7 วัน อาการเริ่มแรกจะคล้ายกับคนเป็นไข้หวัดใหญ่ คือไข้ขึ้นสูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ และหลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการอื่นๆ ตามมา เช่น
- เมื่อเชื้อเคลื่อนตัวไปเจริญเติบโตยังต่อมน้ำเหลือง จะก่อให้เกิดอาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบ บวม แดง เมื่อกดจะเจ็บ มักเกิดตามบริเวณขาหนีบ หรือรักแร้
- เมื่อเชื้อเริ่มลุกลาม จะเข้าสู่กระแสเลือด ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ความดันต่ำ เลือดออกในอวัยวะต่างๆ เจ็บปวดทุกข์ทรมาน และเสียชีวิตภายใน 3-5 วัน
- หากมีการติดเชื้อจากการถูกไอ จาม รดกัน เชื้อจะเข้าสู่ปอดทำให้เป็นกาฬโรคปอดบวม ไอเป็นเลือด อ่อนเพลีย มีไข้ การติดเชื้อในลักษณะนี้จะเสียชีวิตเร็วมาก ภายใน 1-3 วัน
Public Domain
คำเรียกชื่อว่า Black Death นั้นจึงมาจากอาการขั้นสุดท้ายของผู้ป่วยจากโรคนนี้ครับ คือร่างกายจะกลายเป็นสีดำเพราะมีเลือดออกใต้ผิวหนังชั้นหนังกำพร้า แต่ยังมีอีกความหมายหนึ่งด้วย คือสื่อถึงความน่าสะพรึงกลัวของโรคร้ายนี้ และอารมณ์เศร้าหมองของผู้คนในยุคสมัยนั้นที่มีแต่ความหดหู่ เศร้าหมองนั่นเอง
เหตุการณ์การแพร่ระบาดของกาฬโรคครั้งใหญ่ในอดีต
ในอดีตนั้นเคยเกิดเหตุการณ์ที่เชื้อมรณะดำระบาดครั้งใหญ่ๆ ทั้งหมดถึง 3 ครั้งด้วยกัน แต่ละครั้งนั้นล้วนมีจำนวนผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่าล้านคนทั้งสิ้น มีรายละเอียดดังนี้ครับ
1. กาฬโรคแห่งจัสติเนียน Plague of Justinian ปี ค.ศ. 541-542
นี่อาจเรียกได้ว่าเป็นกาฬโรคระบาดครั้งใหญ่ครั้งแรกของโลก เกิดขึ้นในจักรวรรดิไบแซนไทน์ กินอาณาเขตตั้งแต่อียิปต์ เอเชียกลาง ไปถึงศูนย์กลางของอาณาจักร กรุงคอนสแตนติโนเปิล (เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) ซึ่งมีคนตายถึงวันละหมื่นคน การระบาดครั้งนี้ติดต่อกันยาวนานเป็นระยะเวลาประมาณ 50 ปี และยังแพร่เข้าสู่ประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียนในช่วงปี ค.ศ. 588 ประเมินกันว่ามีผู้เสียชีวิตทั่วโลกหลายล้านคน
และต่อมาเชื้อกาฬโรคจากครั้งนี้ยังกลายมาเป็นเชื้อที่ระบาดครั้งใหญ่ในเหตุการณ์ต่อมาครับ
2. โรคระบาดครั้งใหญ่ Great Pestilence ปี ค.ศ. 1346-1353
สำหรับกาฬโรคระบาดครั้งที่ 2 นี้เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด กวาดล้างประชากรในแถบยุโรปไปอย่างมหาศาลมากถึง 1 ใน 3 หรือประมาณ 25 ล้านคน รวมจำนวนผู้เสียชีวิตรอบโลกสูงถึงราว 75 ถึง 100 ล้านคน ซึ่งคำเรียก black death นั้นก็มาเกิดในยุคนี้นั่นเอง โดยประเทศต่างๆ ก็ล้วนแต่ประสบกับหายนะอันรุนแรงทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
By https://wellcomeimages.org/indexplus/obf_images/e2/78/a40362372a6f19abb7497801c848.jpg Gallery: https://wellcomeimages.org/indexplus/image/L0004057.html Wellcome Collection gallery (2018-04-05): https://wellcomecollection.org/works/awnp6vyq CC-BY-4.0
- เมืองฟลอเรนซ์ ในอิตาลี ช่วงปี 1338 มีประชากรอยู่ประมาณ 110,000-120,000 คน ถูกกาฬโรคเล่นงานจนเหลือประชากรเพียง 50,000 คน
- เมืองลอนดอน อังกฤษ ช่วงปี 1400 เกิดการระบาดใหญ่ที่กรุงลอนดอนเรียกว่า “The Great Plague of London” มีคนตายถึง 70% จากจำนวนประชากร 450,000 คน เหลือเพียง 60,000 คน
คาดว่าโรคระบาดในครั้งนี้เริ่มต้นมาจากทางตอนใต้ของอินเดีย และประเทศจีนตามแนวเส้นทางสายไหม (Silk Road) ซึ่งคาดว่ากองคาราวานพ่อค้าชาวจีน-มองโกล จะเป็นผู้นำเชื้อที่ระบาดที่เอเชียตอนกลางมายังยุโรป และกระจายไปทั่วทั้งเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา
แผนที่ แสดงการแพร่ระบาดในแถบยุโรป และตะวันออกใกล้ (Near East)
เนื่องจากยุคนั้นยังไม่มีวัคซีนรักษา หนทางที่จะรอดตายคือการอพยพไปยังพื้นที่อื่น โดยเฉพาะเขตพิ้นที่ภูเขาโดดเดี่ยว เพราะว่าเขตตัวเมืองที่มีขนาดใหญ่ มีความหนาแน่นของประชากรสูง ก็ยิ่งมีความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อกาฬโรคได้ง่ายกว่า
ในช่วงยุคนี้เองที่จะเห็น "หมออีกา" หรือแพทย์ผู้รักษาผู้ป่วยกาฬโรค ที่คิดค้นเครื่องแบบเฉพาะสำหรับรับมือโรคระบาดโดยเฉพาะ โดยมีเอกลักษณ์เป็นหน้ากากอีกาดำ ถึงตรงนี้จำตัวละครนี้เอาไว้ก่อน เดี๋ยวจะเล่าต่อในหัวข้อถัดๆ ไปครับ
3. การระบาดครั้งที่ 3 ปี ค.ศ. 1855-1894
ครั้งนี้เป็นการระบาดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เริ่มต้นที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน แพร่ระบาดไปทั่วทุกทวีปของโลก เข้าสู่สิงคโปร์ ไทย ฟิลิปปินส์ ฮาไวอี อารเบีย เปอร์เชีย ตุรกี อียิปต์ แอฟริกาตะวันตก เข้ารัสเชีย และในทวีปยุโรป เข้าสู่อเมริกาเหนือ และเม็กซิโก มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 12 ล้านคนทั่วโลก
นับเป็นโชคดี ที่การระบาดครั้งนี้นับเป็นครั้งสุดท้ายของโลกครับ... นั่นก็เพราะนายแพทย์ชาวฝรั่งเศส Alexandre Emile Jean Yersin ได้ค้นพบเชื้อแบคทีเรีย และนำไปสู่การพัฒนาวัคซีนเป็นผลสำเร็จในที่สุด
หมอกาฬโรค นักบุญหรือยมทูต ?
กลับมาที่ไอคอนแห่งยุคกันบ้างดีกว่า สำหรับคุณหมออีกา หรือ Plague Doctor ที่มีบทบาทสำคัญในยุคนี้มากๆ แม้จะยังไม่ได้มีวิธีการรักษาที่ช่วยให้หายขาด เป็นเพียงการรักษาตามอาการ และใช้วิธีรักษาที่เชื่อกันว่ารักษากาฬโรคได้ นั่นคือการปรับสารน้ำในร่างกายให้สมดุล โดยเจาะเลือดออก หรือใช้ปลิงดูดเลือดออกมา
Public Domain
ทางด้านเครื่องแบบของหมออีกานั้น จะว่าไปก็นับเป็นชุดป้องกันที่ดีที่สุดเท่าที่สมัยนั้นจะทำได้แล้วล่ะครับ คือใช้เสื้อคลุมยาวหนาเคลือบด้วยขี้ผึ้ง สวมหน้ากากที่มีจงอยแหลมเหมือนอีกา เพื่อที่จะได้ยัดเอาสมุนไพร และเครื่องหอมต่างๆ ไว้ในนั้นได้ เช่น สะระแหน่ การบูร กานพลู เป็นต้น อีกทั้งหมอจะไม่สัมผัสตัวผู้ป่วยโดยตรง แต่จะใช้ไม้เท้าในการวินิจฉัยอาการ
แต่บางที หมออีกาก็ไม่ใช่แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงแต่อย่างใดครับ มักเป็นแพทย์จบใหม่ หรืออย่างแย่ก็เป็นคนที่ไม่ได้เรียนแพทย์มาด้วยซ้ำ เพียงแต่อาศัยเรียนรู้จากประสบการณ์เท่านั้น หมอกาฬโรคนั้นเป็นอาชีพที่มีค่าจ้างสูงมาก เพราะมีความเสี่ยงที่จะติดโรค นอกจากนั้นยังมีหน้าที่ต้องชันสูตรศพ จดบันทึกจำนวนผู้เสียชีวิต รวมไปถึงจัดการพินัยกรรมของผู้ป่วยด้วย
มรณะสีดำ การลงทัณฑ์จากพระเจ้า
Public Domain
แน่นอนว่าในสมัยก่อนนั้นเรายังไม่เข้าใจ และไม่รู้จักสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแบคทีเรีย หรือไวรัสด้วยซ้ำ คนจำนวนมากจึงเชื่อว่าเป็นการลงโทษจากเบื้องบน ที่มนุษย์นั้นมีบาปหนาหนัก ทั้งความโลภ เห็นแก่ตัว หลงผิด คิดริษยา ฯลฯ ฉะนั้นการทำให้พระเจ้าพึงพอใจจึงน่าจะเป็นหนทางที่จะหยุดโรคร้ายนี้ได้
เหตุนี้เองจึงเกิดการล่าบุคคลที่เชื่อว่าไม่ประพฤติตนตามครรลองมาลงโทษ ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นเหตุในการลงโทษคนที่แตกต่างจากพวกของตน ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์ฆ่าล้างชาวยิวในช่วงค.ศ. 1348-1349 ทำให้ต้องหนีอพยพไปทางยุโรปตะวันตก เป็นต้น
การระบาดของกาฬโรคในประเทศไทย
สำหรับการแพร่ระบาดของโรคนี้ โดยที่มีการบันทึกอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย คือวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2447 ว่า พบการระบาดเกิดขึ้นที่บริเวณโกดังเก็บสินค้าในจังหวัดธนบุรี บริเวณดังกล่าวเป็นที่อยู่ของพ่อค้าชาวอินเดีย สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากหนูที่มีเชื้อกาฬโรค ติดมาจากเรือสินค้าที่มาจากเมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย แล้วระบาดจากธนบุรีเข้ามาฝั่งพระนคร แล้วจึงกระจายไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่มีการติดต่อค้าขายกับจังหวัดพระนคร โดยทางบก ทางเรือและทางรถไฟ แต่ไม่มีสถิติจำนวนผู้ป่วยตายที่แน่นอน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2456 มีรายงานว่าเกิดกาฬโรคระบาดที่จังหวัดนครปฐม มีคนตาย 300 คน และครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2495 มีรายงานผู้ป่วย 2 รายตาย 1 ราย ที่ตลาดตาคลี นครสวรรค์ ซึ่งถือเป็นรายงานการระบาดของกาฬโรคครั้งสุดท้ายในประเทศไทย จากนั้นไม่มีรายงานกาฬโรคเกิดขึ้นในประเทศไทยอีกจนปัจจุบันนี้
อ้างอิง
- www.history.com/topics/middle-ages/black-death
- www.hfocus.org/content/2014/08/7906
- webdb.dmsc.moph.go.th/ifc_nih/a_nih_1_001c.asp?info_id=394
===============