รีเซต

7 ไอเท็มพันปี ตามตำนานโลก ที่ปัจจุบันยังคงเป็นปริศนา

7 ไอเท็มพันปี ตามตำนานโลก ที่ปัจจุบันยังคงเป็นปริศนา
แมวหง่าว
27 มิถุนายน 2563 ( 11:00 )
19.3K
1

     พูดถึงของศักดิ์สิทธิ์ ไอเท็มพันปีตามตำนานโลก ทรงอิทธิฤทธิ์ในตำนานต่างๆ หลายคนก็ยังกังขาในความมีอยู่ของมัน ว่าเป็นแค่เรื่องแต่งของคนในยุคหลังเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ หรือเป็นของจริงกันแน่ บางทีเราก็เห็นนิยาย หรือการ์ตูนหลายๆ เรื่องก็เอาไปเสริมเรื่องราวให้ดูน่าสนุกตื่นเต้นมากกว่าเดิม แต่ไม่ว่าจะยังไงเราก็รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้อ่านเรื่องราวตำนานพวกนี้กันอยู่แล้วใช่ไหมครับ ถ้าเราจะบอกว่าไอเท็มพันปีบางอย่างนั้นก็มีอยู่บนโลกนี้จริง และมีให้เราเห็นด้วย ! ใครอยากรู้ตามมาพิสูจน์พร้อมๆ กันได้เลย

 

 

7 ไอเท็มพันปี ตามตำนานโลก ที่ปัจจุบันยังคงเป็นปริศนา

 

สารคดี Conspiracies: Decoded ไขคดีที่เป็นปริศนาที่สุดในประวัติศาสตร์ ดูฟรี!

 

1. หอกลองกินุส (Longinus)

 

By Weltliche_Schatzkammer_Wien_(180)-3

 

     อาวุธโบราณชิ้นนี้ เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินชื่อกันมาบ้าง หอกลองกินุส นั้นมีอีกหลายชื่อ ทั้ง หอกแห่งโชคชะตา (Spear of Destiny) หอกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Lance, Holy Spear) หอกแห่งพระคริสต์ (Spear of Christ) นั่นเพราะหอกเล่มนี้เองถูกใช้เพื่อแทงไปยังสีข้างของพระเยซู โดยนายทหารโรมันชื่อ กาลิอัส คาสเซียส ลองกินุส (Gaius Cassius Longinus) ซึ่งมีอาการตาใกล้บอดและได้รับหน้าที่ตรึงกางเขนพระเยซู เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จริงหรือไม่

 

jorisvo / Shutterstock.com

 

     จากไบเบิ้ลฉบับพันธสัญญาใหม่ เขียนไว้ว่าเมื่อพระโลหิตของพระเยซูกระเด็นมาโดนก็ทำให้ตาของเขากลับมามองเห็นได้ดีอีกครั้ง นายทหารผู้นี้จึงเกิดความศรัทธา และบวชเป็นนักบวชในศาสนาคริสต์ ชิ้นส่วนของหอกเล่มนี้ถูกเปลี่ยนมือไปหลายยุคหลายสมัย มีวัตถุโบราณอีกหลายเล่มถูกอ้างว่าเป็นหอกลองกินุสอยู่หลายเล่ม แต่ละเล่มก็ล้วนมีเรื่องเล่าที่รองรับจนทำให้น่าเชื่อว่าเป็นของจริงกันทั้งนั้น แต่เล่มที่น่าสนใจ และมีชื่อเสียงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ หอกลองกินุสแห่งกรุงเวียนนา (Vienna Lance) ที่ผู้นำเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adoft Hitler) เคยครอบครองไว้

 

     เมื่อฮิตเลอร์ต้องการสร้างอาณาจักรไรซ์ที่ 3 ขึ้น (อาณาจักรไรซ์ที่ 1 คือช่วงอาณาจักรโรมัน และอาณาจักรไรซ์ที่ 2 คือช่วงปี ค.ศ. 1871-1918) เขาจึงต้องการสิ่งของที่จะใช้เป็นสัญลักษณ์ประกอบแห่งอำนาจ ซึ่งก็ไม่พ้นหอกลองกินุสแห่งกรุงเวียนนา เพราะผู้ถือครองหอกเล่มนี้ล้วนแต่มีอำนาจทั้งสิ้น เช่น พระเจ้าคอนสแตนตินมหาราช กษัตริย์ผู้ประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติโรมัน, พระเจ้าชาร์เลอมาญ (Emperor Charlemagne) ผู้ก่อตั้งอาณาจักรโรมันศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่นโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) ยังหวังในพลังของหอก จนเหล่าสภาชิกสภาเมืองนูเรมเบิร์ก (ที่เก็บหอกลองกินุสในยุคนั้น) ต้องถูกนำไปซ่อนไว้ในกรุงเวียนนาแทน

 

     วันที่ 15 มีนาคม 1938 เป็นวันที่ฮิตเลอร์ยกกองทัพเยอรมันบุกมาถึงออสเตรีย และเข้ายึดหอกลองกินุสที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ฮอฟเบิร์ก กรุงเวียนนา ซึ่งวันนี้เองยังเป็นวันเดียวกันกับที่นายทหารลองกินุสนำหอกแทงพระเยซู นั่นเอง

 

     ปัจจุบันหอกศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ถูกนำกลับไปอยู่ในที่เดิมก่อนที่จะถูกกองทัพนาซียึดไป นั่นคือพิพิธภัณฑ์ในกรุงเวียนนา นั่นเอง

====================

 

2. กริชวัชระ (phurbu)

 

By Daderot - Own work, CC0

 

     ในประเทศเล็กๆ เงียบสงบเหนือระดับน้ำทะเลอย่าง ภูฏาณ เองก็มีตำนานที่เล่าสืบกันมายาวนานเช่นกัน เกี่ยวกับกริชวัชระที่อยู่ในวัดถ้ำเสือ หรือทักซัง (Taktsang) แห่งเมืองพาโร (Paro) ซึ่งเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูฏาน เป็นสถานที่แสวงบุญที่ชาวพุทธเลื่อมใสศรัทธามากที่สุดแห่งหนึ่งในเขตหิมาลัย แม้แต่ลามะชั้นสูง และชาวทิเบตก็ยังเดินทางข้ามเขาเพื่อมาสักการะอย่างน้อยสักครั้งหนึ่งในชีวิต (อ่าน ทักซัง เมืองพาโร พลังแห่งศรัทธาบนยอดภูผากว่า 3,000 เมตร)

 

By Yurei Fukuro - Vajrakilaya, CC BY 2.0

 

     ตำนานของทักซังมีอยู่ว่า ท่านกูรูรินโปเช ผู้สร้างที่นี่ ได้ขี่นางเสือที่เป็นศักติของท่านแปลงกายมา เหาะมายังที่แห่งนี้ และบำเพ็ญสมาธิอยู่ในถ้ำเสือนาน 3 เดือน เทศนาสั่งสอนผู้คน และสำแดงกายสะกดภูติผีปีศาจร้ายที่ออกอาละวาดอยู่ในแถบนี้ ซึ่งอาวุธที่ท่านใช้ในการปราบมารในครั้งนั้นก็คือ กริชวัชระ ที่ท่านใช้เวลา 3 เดือนนั้นสวดมนต์เพื่อปลุกเสกกริชวัชระนี้ ซึ่งปัจจุบันยังถูกเก็บรักษาไว้ภายในถ้ำนั้นดังเดิม โดยจะมีการเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาได้ชมปีละ 1 ครั้งเท่านั้น

====================

 

3 . มีดสั้นฟาโรห์ตุตันคามุน

 

 

     นอกเหนือปริศนาการสร้างพีระมิดในยุคโบราณที่เราว่าลึกลับซับซ้อนแล้ว ยังมีของชิ้นเล็กๆ ที่แม้ไม่ใหญ่เท่าสุสานฟาโรห์แต่ก็น่าพิศวงไม่แพ้กัน นั่นก็คือ มีดสั้นของฟาโรห์ตุตันคามุน ฟาโรห์ลำดับที่ 18 ของราชวงศ์อียิปต์ยุคอาณาจักรใหม่ (New Kingdom) ที่นักวิจัยยืนยันแล้วว่าทำมาจากหินอุกกาบาตจากนอกโลก อายุกว่า 3,300 ปี

 

     ...เรื่องของเรื่องคือ ชาวอียิปต์ในยุคนั้นยังไม่รู้จักการถลุงเหล็กมาก่อนด้วยซ้ำ จะนับประสาอะไรกับเหล็กจากท้องฟ้าแบบนี้ ที่องค์ประกอบของมันมีทั้งธาตุเหล็ก, โคบอลต์, นิกเกิล ซึ่งเป็นธาตุที่พบได้ในอุกกาบาตโลหะเพียงอย่างเดียว

 

     กริชเล่มนี้เป็นกริช 1 ใน 2 เล่มที่พบในโลงศพของฟาโรห์ตุตันคามุน อีกเล่มหนึ่งนั้นทำจากทองคำทั้งแท่ง นั่นจึงทำให้กริชทั้ง 2 เล่มนี้ไม่เกิดสนิมเลยแม้แต่นิดเดียว ปัจจุบันถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ไคโรแห่งอียิปต์

====================

 

4 . ซากเรือโนอาห์ ที่ตุรกี

 

Public Domain

 

     สำหรับชิ้นนี้อาจไม่ใช่วัตถุชิ้นเล็ก แต่ก็มีความสำคัญมากย้อนไปถึงตำนานวันสิ้นโลกเลย นั่นคือซากเรือของโนอาห์ (Noah’s Ark) บนยอดเขาอารารัต ประเทศตุรกี ที่ถูกพบโดยทีมนักวิจัยชาวตุรกี และจีนในเดือนตุลาคม 2010 เป็นซากโบราณเก่าแก่ ลักษณะคล้ายเรือทำจากไม้ทั้งลำ อายุประมาณ 2,800 ปีก่อนคริสตกาล ไม้แต่ละแผ่นกว้างประมาณ 8 นิ้ว เชื่อมต่อกันด้วยลิ่มไม้ ความยาวทั้งลำประมาณ 100 เมตร มีร่องรอยของการอยู่อาศัยมาก่อน และอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 4,000 เมตร

 

     ทั้งนี้ทางทีมสำรวจก็ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่า ซากสิ่งนี้เป็นเรือของโนอาห์จริง เพราะถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครเคยเห็นสภาพภายนอกแบบจริงๆ เนื่องจากหิมะ และน้ำแข็งที่ปกลุมอยู่ภายนอก

====================

 

5. ไบเบิลปีศาจ (Codex Gigas)

 

Public Domain

 

     Codex Gigas คัมภีร์ของทางฝั่งซาตานที่เชื่อกันว่าถูกเขียนขึ้นโดยนักบวชนอกรีต เรื่องราวข้างในก็มีทั้งคาถาอาคม พิธีกรรม และการยกย่องเชิดชูซาตาน (ว่ากันว่าซาตานมาช่วยเขียนเลยด้วย) เขียนด้วยหลากหลายภาษาผสมกันไป เช่น ละติน ฮิบรู กรีก สลาวิก ทั้งหมดนี้เขียนอยู่ในหนังสือเล่มใหญ่ยักษ์กว่า 300 หน้า บันทึกลงบนหนังสัตว์แทนที่จะใช้กระดาษ มีความสูง 92 เซนติเมตร กว้าง 50 เซนติเมตร หนา 22 เซนติเมตร และหนักถึง 75 กิโลกรัม นั่นจึงทำให้คัมภีร์เล่มนี้กลายเป็นหนังสือที่เขียนด้วยลายมือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

 

     ในไบเบิลเล่มนี้ยังปรากฎร่องรอยของการฉีกออกไปจำนวน 8 หน้าด้วยกันปัจจุบันจึงไม่มีใครล่วงรู้ว่าเนื้อหาส่วนที่ขาดหายไปนั้นเพื่อปกปิดเรื่องใดกันแน่ ปัจจุบันมันถูกเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ กรุงสตอกโฮมส์ ประเทศสวีเดน

====================

 

6. ดาบนโปเลียน (Napoleon’s Sword)

 

By Rama - Own work, CC BY-SA 3.0 fr

 

     ดาบคู่ใจของจักรพรรดินโปเลียน โบนาปาร์ต แห่งฝรั่งเศส ในยุคสมัยของพระองค์นั้นทรงมีชัยและปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปยุโรป โดยมีดาบคู่ใจที่ใช้ในการสู้รบตั้งแต่ปี 1799 เป็นดาบสีทองประดับเพชร ตีจากเหล็กชั้นเยี่ยมที่หาได้ในยุคนั้น และถูกส่งต่อไปยังคนในตระกูลโบนาปาร์ตรุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งปี 1978 ก็ถูกยกให้เป็นสมบัติชาติฝรั่งเศส ว่ากันว่าดาบเล่มนี้ยังคงมีกลิ่นไอสงครามโอบล้อมตัวมันอยู่

====================

 

7. ดาบฮอนโจ มาซามุเนะ

 

 

     โอกาซากิ มาซามุเนะนั้น เป็นช่างตีดาบมือหนึ่งของญี่ปุ่น มีชีวิตอยู่ในช่วงค.ศ. 1288-1328 ดาบทุกๆ เล่มที่ตีโดยเขานั้นขึ้นชื่อที่สุดทั้งเรื่องของความงาม และคุณภาพ โดยเล่มที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ดาบฮอนโจ มาซามุเนะ ที่ถูกใช้โดยโชกุนในยุคเอโดะ และสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น โดยเจ้าของคนสุดท้ายคือ โทคุคาว่า อิเอมาสะ ลูกหลานในตระกูลโทคุคาว่าซึ่งเขาก็ได้มอบดาบเล่มนี้ให้แก่กรมตำรวจในปี 1945 หลังจากนั้นมันก็สูญหายไปในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปัจจุบันยังมีความพยายามที่จะตามหาดาบเล่มนี้กันอยู่

 

     อย่างไรก็ตาม ดาบเล่มอื่นๆ ของมาซามุเนะก็ยังพอหาชมได้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเกียวโต อย่างเช่น ชิมาซึ มาซามุเนะ ดาบเล่มนี้มาจากตระกูลคาโนะเอะ ซึ่งมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์อิมพีเรียลของญี่ปุ่น ว่ากันว่ามันมีความงดงามวิจิตรที่สื่อถึงความเคลื่อนไหวภายใต้ความสงบนิ่ง

===============