พม่าหรือเมียนมา หนึ่งประเทศเพื่อนบ้านที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาช้านาน ปัจจุบันพม่ามีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เพราะมีความสวยงามและยังมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับอดีตในสมัยอยุธยา ซึ่งผมได้ไปเที่ยวมาหลายครั้ง และอยากมาเล่าให้ฟังครับ โดยในครั้งนี้จะขอแนะนำ 3 ที่เที่ยวตามรอยเชลยกรุงศรีที่พม่าในพื้นที่ 3 เมืองวัดมหาเตงดอจี เมืองสะกาย (Maha Thein Taw Gyi)ตั้งอยู่ห่างจากเมืองมัณฑะเลย์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำอิระวดี ใช้เวลาประมาณ 45 นาที โดยรถรับจ้างหรือแท็กซี่ จุดเด่นของวัดมหาเตงดอจี คือ ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถที่เป็นศิลปกรรมแบบอยุธยาอย่างชัดเจน ทั้งเส้นสาย การใช้สี และเรื่องราวของภาพ รอบเพดานและฝาผนัง โดยเป็นภาพลวดลายพันธุ์พฤกษา พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ พระพุทธรูปในบุษบกเก้าชั้น เส้นแบ่งเล่าเรื่องแบบหยักฟันปลา ตลอดจนดาวเพดาน ที่ดูเหมือนกับจิตรกรรมฝาผนังในวัดไทย เช่นที่วัดเกาะแก้วสุทธาราม จังหวัดเพชรบุรี ทั้งนี้ สันนิษฐานว่าช่างเขียนภาพน่าจะเป็นชาวอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปพม่าในหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี 2310 ความรู้สึกของผมเมื่อได้ชมภาพจิตรกรรมที่วัดมหาเตงดอจี ทำให้รู้สึกถึงพลังงานของภาพมากๆ ทำให้คิดถึงบ้านขึ้นมาทันที เพราะความงดงามของลวดลายที่เหมือนวัดไทย และเมื่อนึกถึงช่างเขียนภาพในอดีตก็คงวาดภาพเพราะความศรัทธาในพระพุทธศาสนาและความอาลัยอาวรณ์บ้านเกิดเมืองนอนไม่น้อยซึ่งซ่อนอยู่ภายในโบสถ์ที่ภายนอกเป็นศิลปกรรมแบบพม่า พิกัดวัดมหาเตงดอจี 2. วัดเจาตอจี เมืองอมรปุระ (Kyauk Taw Gyi)วัดนี้อยู่ริมทะเลสาบตาวตะมาน (Taung Thaman) สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองอมรปุระ การเดินทางถ้าจะให้ได้บบรรยากาศต้องนั่งเรือพายข้ามฟากหรือเดินบนสะพานอูเบง (U-Pain) ไปยังวัดเจ๊าตอจี จุดเด่นของที่นี่คือ ภายในวิหารสี่ทิศมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของผู้คนในเมืองอมรปุระ โดยมีภาพเด็กผมแกละ ผมจุกกำลังอยู่ในอิริยาบถต่างๆ เช่น การนั่งเล่น การเล่นขี่หลังคล้ายกับขี่ม้าส่งเมือง ร่วมกับเด็กอื่นๆ ที่ไว้ทรงผมต่างกัน ตลอดจนผู้หญิงที่นุ่งผ้าเลยข้อเท้าขึ้นมา ชาวพม่าบอกว่าการไว้ผมแกละ ผมจุก และนุ่งผ้าแบบนี้ไม่ใช้วัฒนธรรมของชาวพม่าโบราณ โดยหญิงพม่าโบราณจะนุ่งผ้าปิดข้อเท้า ทำให้สันนิษฐานว่า เด็กและผู้หญิงเหล่านี้คือ เชลยอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนคราวกรุงศรีแตกปี 2310 และใช้ชีวิตในฐานะราษฎรทั่วไป ทั้งยังสามารถแต่งกายด้วยวัฒนธรรมของตนเองได้อีกด้วย ความรู้สึกของผมเมื่อได้เห็นภาพ คือ รู้สึกประทับใจ มีความสุขและตื้นตันใจ เพราะภาพเล่าเรื่องเมืองได้อย่างมีชีวิตชีวา ราษฎรทุกคนดูแช่มชื่น โดยเฉพาะเด็กผมแกละผมจุกที่ดูจะสนุกสนานเป็นพิเศษ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงร่องรอยทางวัฒนธรรมของชาวอยุธยาที่พลัดถิ่นในเมืองพม่าอย่างชัดเจน พิกัดวัดเจาตอจี เมืองอมรปุระ3. พระเจดีย์ทรายชุมชนเมงตาสุ เมืองมัณฑะเลย์ (Mintasu)ชุมชนเมงตาสุ เมืองมัณฑะเลย์ ตั้งอยู่ในเขตเมืองมัณฑะเลย์ จุดเด่นของที่นี่คือ ภายในวัดเล็กๆ ที่เป็นศูนย์กลางของชุมชนมีพระเจดีย์ทรายขนาดความสูงราว 3 เมตร ที่ถูกฉาบด้วยปูนและประดับตกแต่งอย่างสวยงาม ตามประวัติของที่นี่กล่าวว่า บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของชุมชนเชลยที่เป็นเจ้าชายอยุธยา เชียงใหม่ ลาว และเมืองต่างๆ ในอำนาจของราชอาณาจักรอยุธยา ซึ่งถูกกวาดต้อนมาเมื่อครั้งเสียกรุงศรีปี 2310 (เมงตาสุ แปลว่า ย่านเจ้าชาย) โดยตลอดแนวคลองชื่อว่า ชเวตะชาว (Shwe Ta Chaung) ที่ขุดโดยเชลยอยุธยามีการก่อพระเจดีย์ทรายเต็มทั่วไปหมดในช่วงวันสงกรานต์ซึ่งถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของดินแดนในอุษาคเนย์ ปัจจุบัน ประเพณีก่อพระเจดีย์ทรายของชาวอยุธยาที่ชุมชนเมงตาสุสืบทอดต่อกันมานับร้อยปี แม้จะไม่มีคนอยุธยาแล้ว แต่ผู้คนในชุมชนยังคงรักษาพระเจดีย์ทรายเป็นอย่างด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา ผมเดินทางมาที่นี่หลายครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่ควรมาชมคือ วันสงกรานต์ ตั้งแต่ 13 - 15 เมษายนของทุกปีจะมีเทศกาลก่อเจดีย์ทรายที่เป็นเอกลักษณ์ สนุกสนาน ชื่นมื่น และอิ่มบุญ เพราะผู้คนมากมายจะมาช่วยกันก่อเจดีย์ทรายกันด้วยความสามัคคี และทำให้รู้สึกมีความสุขที่ได้รู้ว่าจิตวิญญาณของชาวอยุธยาในพม่าไม่ได้เลือนหายไปไหน แต่ยังคงดำรงอยู่ได้อย่างสง่างาม พิกัดพระเจดีย์ทรายชุมชนเมงตาสุ เมืองมัณฑะเลย์ ภาพถ่ายทั้งหมดโดยครีเอเตอร์กำลังหาที่เที่ยวหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !