ครั้งหนึ่งในชีวิต เราได้หนีจากโลกวุ่นวายที่แสนเร่งรีบ ได้มาเลี้ยงช้าง ทานอาหารช้าๆ อย่างอร่อยทุกคำ มานอนดูดาว ได้รักตัวเองมากขึ้น ได้พบมิตรภาพใหม่ๆ ที่ไม่ใช่แค่กับช้างแต่กับมนุษย์ด้วยกัน : ) เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่ จ.เชียงใหม่ อยู่ในขณะที่น่าไปเที่ยวที่สุด เราก็ได้มีโอกาสกลับไปเที่ยวอีกนับเป็นครั้งที่เท่าไรในชีวิตแล้วก็ไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่มั่นใจคือการมาครั้งนี้คงพิเศษกว่าครั้งไหนๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มากับกลุ่มเพื่อนสนิทที่พบกันทีไรก็เป็นต้องหัวเราะตัวโยนทุกที และที่สำคัญ นี่จะเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราจะได้มีโอกาสมาเป็นลูกมือของควาญเลี้ยงช้าง ได้อาบน้ำและป้อนอาหารช้างทีเดียวนับสิบเชือก! สารภาพตามตรงว่าโปรแกรมนี้เราไม่ใช่คนต้นคิด แต่นั่นกลับกลายเป็นทำให้ประสบการณ์ในครั้งนี้ทั้งตื่นเต้นและน่าสนใจมากกว่าเดิมหลายเท่า เหมือนกับการเข้าไปดูหนังโดยที่ไม่ได้ดูทีเซอร์มาก่อน เรียกได้ว่ากลายเป็นอีกหนึ่งทริปที่เต็มไปด้วยความประทับใจที่สุดเลยก็ว่าได้ เริ่มต้นด้วยการเดินทางขึ้นมายังสถานที่ตั้งแคมป์ ระหว่างการเดินทางเราก็ได้พบว่านอกจากกลุ่มพวกเราแล้ว ยังมี “เพื่อนร่วมเดินทาง” อีกหลายคนที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จะมาร่วมทำกิจกรรมกับเราไปจนจบโปรแกรม ถึงแม้ว่าตัวแคมป์ที่อยู่บนไร่อ้อมกอดภูเขาจะอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่เพียงแค่ประมาณ 1 ชั่วโมง แต่หนทางที่สลับคดเคี้ยวไปมาทำให้ผู้โดยสารบนรถรับส่งของทางแคมป์หลายคนถึงกับออกอาการอยากอาเจียนขึ้นมาหลายครั้งเลยทีเดียว หลังจากทนทรมานกันไปอยู่พักใหญ่ พอเสียงเครื่องยนต์ดับสนิท พวกเราก็ได้ยินเสียงของธรรมชาติเข้ามาแทนที่ พอได้ลงจากรถไปเห็นภาพบรรยากาศที่มองไปทางไหนก็เห็นภูเขาหลายสิบลูกที่สุดลูกหูลูกตา กลิ่นของป่าไม้ยามเช้า และเสียงร้องของสรรพสัตว์ที่ดังคลอๆ อาการวิงเวียนศีรษะของเพื่อนๆ ก็ดูเหมือนจะหายไปเองซะอย่างนั้น ก่อนจะเริ่มทำกิจกรรมต่างๆ พี่ๆ ผู้ดูแลก็ให้พวกเราทุกคนก็มายืนเรียงแถวเลือกเอา "ชุดม่อฮ่อม" สีน้ำเงินเข้มคุ้นตาชาวไทยอย่างเราๆ ไปเปลี่ยนตามไซส์ที่ทุกคนใส่สบาย รู้สึกทะมัดทะแมง พร้อมลุยกันได้อย่างเต็มที่! ถึงแม้ว่าจะเคยเห็นชุดม่อฮ่อมผ่านตากันมาไม่น้อยแต่ก็ต้องบอกเลยว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเราหนุ่มสาวชาวกรุงเพิ่งจะมีโอกาสได้สวมใส่ ทำเอาต้องรีบหยิบโทรศัพท์มือถือ (ที่ไร้สัญญาณ) มาเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกก่อนจะเริ่มกิจกรรมที่มีแนวโน้มจะทำให้ชุดที่พวกเราตื่นเต้นนี้เปรอะเปื้อนไปซะก่อน เริ่มต้นกิจกรรมแรกด้วยการไปเก็บดอกไม้มาทำสบู่ พวกเราช่วยกันหาดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่และสีสวยที่สุดที่จะหาได้ ใครได้มาเยอะก็เอามาแบ่งๆ กัน ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กประถมที่คุณครูวิชาวิทยาศาสตร์ให้เราแยกย้ายออกไปช่วยกันหาของมาทำการทดลองร่วมกัน ระหว่างรอก้อนสบู่หลายรูปร่างของพวกเราเซ็ตตัว ในที่สุดก็ถึงเวลาของกิจกรรมที่พวกเราตื่นเต้นและรอคอยสักที พวกเราเดินต้อยๆ ตามพี่ควาญไปไม่นานก็ได้ยินช้างหลายเชือกส่งเสียงต้อนรับ ก่อนจะพบว่าด้านหน้าเราเต็มไปด้วยช้างที่มีหลากหลายขนาด ตั้งแต่ตัวที่สูงพอๆ กับเราไปจนตัวที่ต้องเอาพวกเราไปต่อสองคนถึงจะสูงเท่า จากนั้นพี่ๆ ควาญก็ให้โอกาสเราได้ทำความรู้จักกับช้างแปลกหน้าที่เพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรก แอบกระซิบหน่อยว่าแต่ละตัวก็ชื่อเท่ไม่เบาเลยทีเดียว พอฝูงช้างเริ่มคุ้นชินกับเหล่ามนุษย์แปลกหน้าอย่างพวกเรา ก็ถึงเวลาให้อาหารอันแสนตื่นเต้นเสียที อาจเพราะนี่คือครั้งแรกที่พวกเราถูกรายล้อมไปด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่แบบนี้นับสิบโดยที่แทบจะไม่มีอะไรมาขวางกั้น เมื่อชานอ้อยหลายลังถูกยกมาวางตรงหน้า มือสั่นๆ หลายมือเอื้อมไปหยิบออกมาอย่างไม่มั่นใจว่าจะส่งของในมือผ่านงวงนับสิบที่พุ่งตรงเข้ามาเข้าไปในปากเจ้าช้างเชือกที่เราเล็งไว้ได้อย่างไร มองไปทางพี่ควาญช้างก็ได้รับเพียงรอยยิ้มกว้างให้กำลังใจกลับมาเท่านั้น แต่ทว่าใช้เวลาไม่นานพวกเราก็เริ่มคุ้นชินและสนุกกับการป้อนอาหาร รู้ตัวอีกทีมือที่คว้าลงไปในลังอ้อยก็ไม่พบอะไรเสียแล้ว : ) จะมาตื่นเต้นเพราะป้อนอาหารคงจะยังเร็วไป เพราะด่านต่อไปคือการพาฝูงช้างนับสิบที่เพิ่งกินอิ่มหนำสำราญไปอาบน้ำกัน ระหว่างการเดินทางไปยังจุดหมาย ภาพในหัวของเรามีแต่ฉากที่อาบน้ำช้างจากหนังในความทรงจำตอนเด็กๆ อย่างเรื่อง ต้มยำกุ้ง ผุดขึ้นมาตลอดทาง อยากรู้จะจริงๆ ว่าจะเหมือนกันไหมนะ หลังจากเดินผ่านแดดร้อนๆ มาหลายนาที วินาทีที่ฝูงช้างเดินลงไปสัมผัสน้ำเย็นๆ เราก็รู้สึกได้เลยว่าพวกเขาดีใจและคงจะรอเวลานี้มานาน พวกเราเองก็รีบตามไปลงในน้ำพร้อมกำถังน้ำที่เอาไว้ราดน้ำบนตัวช้างในมืออย่างแน่วแน่ ตั้งใจว่าจะไม่ให้ส่วนผมเปียกน้ำแม้แต่หยดเดียว (หลังจากที่รู้มาว่าห้องน้ำที่แคมป์ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นและอากาศตอนกลางคืนบนดอยช่วงปลายปีก็หนาวไม่ใช่เล่นๆ) แต่ความขี้เล่นของช้าง (หรือของพี่ควาญช้างกันแน่นะ) ที่ทำให้พวกเราหลายคนประมาทไปจนโดนพ่นน้ำใส่ไปหลายครั้ง สุดท้ายก็เป็นอันต้องเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าจนได้ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจพาฝูงช้างอาบน้ำ กิจกรรมต่อมาก็คือโปรแกรมดูแลตัวเองแบบภูมิปัญญาชาวบ้านด้วยการพอกหน้าด้วยโคลนโดยการทาหน้าให้กันและกันต่อกันเป็นทอดๆ พร้อมๆไปกับแช่เท้าด้วยน้ำสมุนไพรอุ่นๆ ก่อนจะต้องแยกย้ายกันไปทำใจเอาร่างกายไปเผชิญกับความหนาวเหน็บสุดขั้วตอนอาบน้ำ และแล้วก็มาถึงสิ่งที่ทุกคนรอคอย นั่นก็คือมื้อเย็นนั่นเอง (ฮา) หลังจากได้ทำกิจกรรมกันอย่างหนักหน่วงมาทั้งวัน ก็ไม่แปลกเลยถ้าอาหารตรงหน้าที่ดูหาทานได้ทั่วไปอย่าง ไข่เจียว ปลาดุกย่าง และ กะหล่ำหลีทอดน้ำปลา ก็อร่อยจนต้องขอเติมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ผ่านไปไม่นานจนอาทิตย์ลับขอบฟ้า แสงไฟโดยรอบที่ไม่ค่อยจะมีก็เริ่มดับไป เสียงต่างๆ รอบตัวเริ่มเบาลง กิจกรรมเพียงไม่กี่อย่างที่ยังเหลืออยู่ให้ทำในช่วงเวลาที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ราวกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ก็เห็นทีจะมีแต่การพูดคุย เล่นเกม ร้องเพลง และ ปิ้งบาร์บีคิว ดังนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลยที่คนแปลกหน้าหลายคนที่พวกเราเพิ่งจะได้พบกันในวันนี้จะสามารถพูดคุยกันอย่างสนิทสนมได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว กองไฟที่สว่างสไว อากาศเลขตัวเดียว กลิ่นมันเผาย่างร้อนๆ และเกมฝึกสมองที่ทำมาจากไม้เสียบบาร์บีคิวที่พี่ควาญคิดให้พวกเราเล่น เป็นความทรงจำที่นึกย้อนกลับไปทีไรก็อบอุ่นทุกที ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่รู้อะไรดลใจให้เราเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิท ทั้งๆ ที่ปกติในเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟไม่เคยคิดจะแหงนมองขึ้นไปเลย แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ท้องฟ้าไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนที่เราเห็นในตัวเมือง ณ ที่แห่งนี้ เราได้เห็นกลุ่มดาวมากมายที่จะใช้เวลาทั้งคืนนั่งนับก็คงจะยังไม่พอ ได้แต่คิดในใจว่านานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้ดื่มด่ำกับธรรมชาติที่สวยงามแบบนี้ ยิ่งแสงไฟมืดลงและเสียงพูดคุยเบาลงเท่าไรก็เหมือนเราได้คุยกับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ในช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างที่แหงนมองดูหมู่ดาวเหล่านั้น เราคิดได้ว่าเรื่องวุ่นวายหรือความผิดหวังเสียใจต่างๆ ที่เราผ่านมันมาทั้งปีนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับจำนวนของดวงดาวเหล่านี้ อากาศที่เริ่มเย็นลงไปเรื่อยๆ ทำให้พวกเราตัดสินแยกย้ายกลับไปยังกระท่อมบ้านพักของตัวเอง ประตูกลอนบ้านพักที่ทำขึ้นมาอย่างง่ายๆ แต่กลับไม่ได้ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย เช่นเดียวกันกับปลั๊กไฟในห้องพัก ที่ชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือติดบ้างไม่ติดบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกกระวนกระวายใจต่างกับเวลาที่อยู่ที่กรุงเทพลิบลับ เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้เราก็ได้ยินเสียงไก่ขันเป็นสัญญาณบอกเวลาเช้ามืด อีกหนึ่งความประทับใจที่ได้ตื่นเพราะไก่ขัน (ฮา) พวกเราเดินตามกลิ่นหอมของข้าวต้มและขนมปังปิ้งที่ย่างบนเตาถ่าน มาจนถึงส่วนกลางของแคมป์ ได้ค่อยๆ นั่งซดน้ำแกงข้าวต้มช้าๆ พร้อมกับมองภาพทิวทัศน์รับอรุณของไร่อ้อมกอดภูเขาเป็นภาพที่เราจำได้ไม่ลืม เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกแต่โปรแกรมเลี้ยงช้างแบบสโลว์ไลฟ์ในครั้งนี้ก็ได้มาถึงตอนจบ สิ่งที่เราได้กลับมาด้วยอาจไม่ใช่ของราคาแพงอะไรแต่เป็นความประทับใจอันท่วมท้น กิจกรรมทั้งหมดใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนเท่านั้น แต่สิ่งที่ได้กลับมาในทริปนี้กลับคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เป็นคุณค่าทางจิตใจ ที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมถึงมีใครหลายคนย้อนกลับมายังแคมป์นี้หลายต่อหลายครั้ง ไว้พบกันใหม่ : ) ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียน