"คนเหงาเขาไปไหนกัน" เป็นคำถามยอดฮิตที่ได้ยินบ่อยเลยใช่มั้ยครับ สำหรับผมแล้วผมก็เป็นหนึ่งในคนเหงาเหล่านั้นที่ตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ตลอด พอดีเป็นคนขี้เหงาครับ ฮ่า ๆ ๆ ผมคิดกับตัวเองมาตลอด ว่าอยากลองไปเที่ยวคนเดียวดูบ้าง เพราะชีวิตอยู่แต่กับเพื่อน แต่พอคิดเรื่องนั้นทีไร ผมไม่กล้าที่จะลงมือทำมัน เพราะผมกลัวอะไรหลาย ๆ อย่าง กลัวการไปไหนมาไหนคนเดียว กลัวเงินหมด กลัวไม่มีที่พัก กลัวหลง กลัวโดนกดค่าโดยสาร และที่กลัวที่สุด คือ "ความเหงา" ฟังดูแปลกมั๊ยล่ะครับ คนเหงากลัวความเหงา ใช่ครับ ผมเป็นคนที่มีนิสัยแบบนั้น คือ ผมเป็นคนที่ติดเพื่อนมาก เพราะไม่อยากอยู่คนเดียว เมื่อผมอยู่กับตัวเองผมจะมีความเหงาเสมอ ซึ่งผมไม่ชอบเลยเวลาตัวเองเหงา มันชอบคิดอะไรไปเรื่อย ฟุ้งซ่าน เหมือนคนอกหัก ทั้งที่ยังไม่มีความรัก จนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ผมมีความรักคร้าบ อิอิ แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง ผมอกหักครับ หัวใจแตกดังโป๊ะเหมือนไข่ไก่ตกลงมาแตกบนพื้น อาการหนักเอาเรื่องอยู่ในตอนนั้น เอาแต่เก็บตัวอยู่คนเดียวในห้องไม่ออกไปไหน กินอะไรไม่ลง เหมือนหนังไทยเลยครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ สุดท้ายความคิดที่ผมคิดมาตลอด ว่าอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดคนเดียวก็ผุดขึ้นมาในสมอง ประกอบกับตอนนั้นเป็นช่วงหยุดยาวพอดี เอาสิครับ จองตั๋วเลย คนมันเฮิร์ท และแล้วผมก็จองตั๋วเรียบร้อย ในหัวตอนนั้นคิดเพียงแค่ว่า อยากออกไปเจออะไรใหม่ ๆ ที่ท้าทายตัวเอง ไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ เพราะมีแต่แย่ลง จนวันที่ต้องเดินทางก็มาถึง ... ผมเลือกที่จะบินไฟล์ทดึก เพราะจะได้ไม่ติดธุระอะไร และเพื่อนจะได้ว่างไปส่งสนามบินด้วย โดยจะมีเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่อยู่ด้วยกัน เป็นคนไปส่ง ตลอดทางไปที่ไปสนามบิน เพื่อนของผมพยามพูดคุยด้วยความเป็นห่วง มีเพื่อนคนนึงพูดขึ้นมา "ไหวแน่เหรอวะ ? กลับตอนนี้ยังทันนะ" โดนคำถามนี้ไปผมถึงกับเหงื่อแตกเลย ความกลัวในจิตใต้สำนึกของผมมันวกมาอีกแล้ว รู้สึกไม่อยากไปขึ้นมาทันที เลยใจแข็งตอบไปว่า "ต้องไหวดิวะ ค่าเครื่องแพง" จนผมมาถึงสนามบิน เพื่อนก็ยังยิงคำถามอีกว่า "ไหวแน่นะ ไม่เปลี่ยนใจใช่มั๊ย" ได้ยินแล้วอยากเข้าไปกระโดดกอดเพื่อนเลยครับ น้ำตาจะไหล แต่มาถึงตรงนี้แล้ว ยอมแพ้ได้ไง ฮ่า ๆ ๆ เลยตอบเพื่อนไปว่า "เออ ระดับนี้ละ" กลับไม่ได้แล้ว เสียดายค่าเครื่อง สถานที่แรกที่ผมจะไปหลังจากล้อเครื่องบินแตะพื้น คือ ตลาดน้ำอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม โดยผมได้ทำการจองที่พักและหาข้อมูลการเดินทางใว้เรียบร้อยแล้ว ตอนถึงดอนเมืองก็คุยกับเพื่อนตลอด ตื่นเต้นมาก ไม่เคยทำอะไรแบบนี้คนเดียว แต่ก็กลัวอยู่บ้าง กลัวจะไม่มีรถไป เพราะเครื่องลงถึงสนามบินก็เที่ยงคืนกว่า เลยเดินออกไปหาแท็กซี่แถว ๆ นั้น ดั่งสวรรค์มาโปรดครับ เจอแท็กซี่ที่คนขับเป็นคนใต้ "ไอยะ คนบ้านเดียวกันนิ" พี่เค้าใจดีสุด ๆ ชวนคุยตลอดทาง รู้สึกเป็นมิตรมาก ขอบคุณนะครับที่สังคมเรามีคนดี ๆ แบบนี้ จนมาถึงที่พัก ผมไม่ได้ถ่ายรูปที่พักเก็บใว้เลย ... ขอโทษด้วยนะคร้าบ ตื่นขึ้นมาสังเคราะห์แสงกันหน่อย... บรรยากาศตอนสาย ๆ จากหน้าที่พัก ลืมตาตื่นขึ้นมาตอนสาย ๆ เดินออกมาสูดอากศ ในใจก็แอบคิดนะว่า อากาศที่นี่ร้อนตั้งแต่ตอนสายเลยเหรอ แล้วผมก็ได้เดินเข้าไปในตลาดเพื่อหาอะไรกิน มาที่นี่ทั้งทีต้องกิน "เตี๋ยวเรืออัมพวา" ไปถึงร้านแล้วแทบลมจับ คนเยอะมาก ถอดใจสิครับ กินอย่างอื่นก็ได้ ฮ่า ๆ ๆ ๆ บรรยากาศช่วงเย็น ๆ ก็จะประมาณนี้ "เหงาจับใจ ยังไม่มีใครมาจับจอง" เหงามาก ( ก.ไก่ล้านตัว ) พอตกดึกที่นี่เงียบมาก ๆ บรรยากาศทำไมช่างแตกต่างกับตอนกลางวันขนาดนี้ ข่มตานอน... วันรุ่งขึ้น ผมเก็บของเช็กเอาท์ เพื่อเข้าเมืองกรุง โดยจะไปขึ้นรถตู้โดยสารประจำทางที่ป้ายรถหน้าตลาด ( ผมไม่แน่ใจว่าต้องเรียกว่ารถอะไร ทางที่พักแนะนำมา ) เสร็จแล้วก็ไปต่อกันที่กรุงทพฯ ดีกว่า ผมได้ที่พักแถว ๆ เจริญกรุง ซึ่งคิดใว้ว่าจะไปเดินเล่นที่ "เอเชียทีค" เดินเล่น คิดอะไรเรื่อยเปื่อย มองแม่น้ำเจ้าพระยา ฟังเสียงเพลงที่ดังมาจากร้านอาหาร บรรยากาศชิลล์มากบอกเลย พอตกกลางคืน ผมได้ออกไปนั่งร้านชิลล์แห่งหนึ่ง คือ บรรยากาศดีมาก คิดถึงเพื่อนมากด้วย อารมณ์ตอนนั้น คืออยากมากับเพื่อนมาก ๆ อาหารดี เพลงที่ร้านดี ราคาดี ดีไปหมด เป็นปลื้มมาก คิดใว้ว่าต้องมากับเพื่อนอีกให้ได้ กินเสร็จก็กลับที่พัก ถึงวันที่ต้องกลับแล้ว... เก็บของออก เช็กเอาท์ แต่วันนั้นขึ้นเครื่องตอนเย็น เลยว่างอยู่หลายชั่วโมง ก็เลยหาสถานที่ทางผ่านสายไปดอนเมือง นึกขึ้นได้ว่าอยากกินเฟรนช์ฟรายส์ของพี่พีท พชร โอเคไปสยามกันเถอะ ได้กินสักที ตามหามานาน หลังจากนั้นก็เดินเล่นรอเวลา 18.30 น. คือเวลาที่ต้องเดินทางไปดอนเมืองเพื่อเช็กอิน ได้เวลากลับบ้านแล้ว ในใจตอนนั้นคือยังไม่อยากกลับนะ รู้สึกเหมือนยังฮีลตัวเองได้ไม่สุด เหมือนว่ามันยังได้มากกว่านี้ แต่เวลาไม่เอื้ออำนวย เพราะวันรุ่งขึ้นมีเรียนเช้า ทริปนี้ฝึกอะไรผมหลายอย่างมาก แรก ๆ ยอมรับนะว่ากลัวอยู่บ้าง เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้มาทำอะไรแบบนี้ด้วยตัวคนเดียว แต่พอได้ทำมันจริง ๆ ผมรู้สึกว่าผมทำได้ ผมรู้สึกว่าชนะใจตัวเอง ชนะความกลัวที่ผมมีมาตลอด สุดท้ายแล้วอยากบอกผู้ที่ได้อ่านเรื่องราวของผมว่า "เราจะชนะความกลัวของเราได้ ก็ต่อเมื่อเรากล้าที่จะทำ" และ "อย่าจมอยู่กับเรื่องราวในอดีต เพราะเรื่องราวเหล่านั้น มันผ่านมาให้เราได้พบเจอแล้วก็ผ่านไป คนเราต้องพบเจอเรื่องราวใหม่ ๆ ในทุก ๆ วัน" ภาพทั้งหมดโดย : Film Theerapat