ดิฉันไม่ค่อยนิยมการท่องเที่ยว ตามสถานที่ทางธรรมชาติ เพราะเป็นคนรักธรรมชาติ เหตุผลสำคัญที่ทำให้ดิฉันเลิกเที่ยวป่า เพราะเมื่อกลับไปอีกครั้ง มักพบว่าสถานที่เหล่านั้น มีสภาพเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว และเต็มไปด้วยขยะ ตามจำนวนผู้คนที่ไปเข้าเยี่ยม ดิฉันไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่ง ของผู้ที่ทำลายธรรมชาติ จึงเลิกการเที่ยวป่าเขา และตามหาความสงบสุขจากวัดป่าแทน แต่มีที่เที่ยงแห่งนึง ที่ดิฉันไปแล้วไปอีก และอยากเชิญชวนให้ทุกคนได้ลองไปเที่ยวที่นี่ สักครั้งในชีวิต เพราะค่าเข้าชมที่แสนถูก เพียงแค่ 30 บาท และหากยังเป็นนิสิต นักเรียน นักศึกษา สวมชุดเครื่องแบบมา ก็เข้าฟรีไปเลยจ้า... สถานที่แห่งนั้นคือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร! กำเงิน 30 บาทให้มั่น แล้วมาดูกันว่าเศษเสี้ยวของศิลปะ สมบัติวัตถุ อันวิจิตร ล้ำค่า เหล่านั้น ที่ดิฉันถ่ายภาพมาระหว่าง เดินอ้าปากค้างอยู่ในพิพิธภัณฑ์ นั้นมีอะไรบ้างค่ะ (ที่เหลือ ไปชมของจริงกันเองนะคะ เยอะมาก...ค่ะ) พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ห้องจัดแสดงนิทรรศการที่ห้ามพลาด การเดินทางมาพิพิธภัณฑ์นั้นแสนถูก ดิฉันมาโดยรถประจำทาง ซึ่งมีมากมยหลายสาย ที่จอดตรงป้ายรถเมบ์ ด้านหน้าพิพิฑภัณฑ์แบบตรงแป๊ะ ๆ ได้แก่ สาย 19 ตลิ่งชัน-เทเวศน์ สาย 53 วงกลมรอบเมือง-เทเวศน์ และ สาย 9 ท่าน้ำภาษีเจริญ-ศรีย่าน สุดแสนจะสะดวก และสบายกระเป๋าเงิน จากนั้นก็เดินเข้าไปซื้อบัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ด้านซ้ายมือ ซึ่งพิพิธภัณฑ์นั้นเปิดตั้งแต่เวลา 9:00 -16:00 น. โดยปิดวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ มีห้องการจัดแสดงเยอะมาก ๆ คุ้มเกินค่าบัตร 30 บาทมาก ๆ ถ้าจะเดินให้ครบเก็บร้ายละเอียด ได้อย่างสมใจต้องใช้เวลาในการเดินดู 2-3 วันเป็นอย่างต่ำ ถ้าเดินอยู่พิพิธภัณฑ์นาน ๆ ไม่ต้องกังวลใจนะคะ แอบอยากกระซิบบอก ว่าห้องน้ำที่นี่ เปิดบริการฟรี และสะอาดดีมากค่ะ ไม่ต้องกลัว ภายในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน เป็นห้องที่รวบรวมและจัดแสดง สุดยอดศิลปวัตถุ อันล้ำค่า ห้องจัดแสดงห้องแรก พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน จะมีการจัดแสดงนิทรรศการหมุนเวียนไปเรื่อย ๆ นิทรรศการที่เพิ่งจบไป และสร้างประวัติศาสตร์ แห่งจำนวนผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ จำนวนมหาศาล จนล้นพิพิธภัณฑ์ คือนิทรรศการ จิ๋นซีฮ่องเต้ : จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา ซึ่งดิฉันเองก็ไม่พลาด ไปชมมาแล้วเช่นกัน เอาจริง ๆ แล้ว ชมนิทรรศการห้องนี้ห้องเดียว ก็คุ้มเกิน 30 บาทแล้วจริง ๆ ค่ะ พระวิษณุ ศิลปะสุโขทัย พระพุทธรูป ศิลปะ จานคลือบสีเขียว ศิลปะสุโขทัย ขนาดผ่านกาลเวลา 600 ปี มาแล้ว ยังสวย แกร่ง อลังการ วิจิตร บรรจง ขนลุกจริง ๆค่ะ ห้องจัดแสดงพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน จะคัดเฉพาะสุดยอดแห่งศิลปวัตถุ โบราณวัตถุ ที่ควรค่าแก่การศึกษา ชนิดแค่ได้เห็นเป็นบุญตา รวบรวมมาอยู่ในห้องนี้ โดยครบถ้วนค่ะ ถ้าไปพิพิธภัณฑ์คนเดียว ระยะเวลาที่ดิฉันใช้ ในการเดินชมนิทรรศการ ภายในห้องนี้ก็จะอยู่ที่ประมาณ 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อยค่ะ เพราะไม่ใช่แค่ชมวัตถุจัดแสดงเท่านั้น ตัวพระที่นั่งศิวโมกขพิมานเองก็ เป็นสถานที่อันทรงคุณค่า ความงามและประวัติศาสตร์ ของตัวพระที่นั่งเอง ก็ควรค่าแก่การศึกษา ยิ่งได้ทราบว่าพระที่นั่งแห่งนี้ มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่สมัยต้น ของกรุงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งเป็นสถานที่ ที่พระมหากษัตริย์ของไทย ทรงเสด็จมายังพระที่นั่งแห่งนี้อยู่ไม่ขาด ดิฉันถึงกับรู้สึกถึงพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ ที่สถิตย์อยู่ ณ ที่แห่งนี้ จนต้องสำรวมกิริยามารยาท เกรงว่าจะทำอะไรไม่งามออกไปโดยไม่ตั้งใจ เสาไม้ลงรักปิดทอง ศาลาสำราญมุขมาตย์ ลับแล ลายรดน้ำ ด้านในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ออกจากพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน มีห้องนิทรรศการให้เราเลือกชมอีกมาก.....มาย จนจัดลำดับในใจแทบไม่ถูก ว่าจะไปที่ไหนก่อนดี คุณภัณฑารักษ์จึงแนะนำดิฉัน ให้เดินไปที่พระตำหนักแดงก่อน เพราะอยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งพระตำหนักแดง ก็มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน แม้จะผ่านการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลงสถานที่ตั้ง เพื่อประโยชน์การใช้งานที่คุ้มค่า มาหลายครั้งหลายครา แต่ตัวพระตำหนักก็ยังคงแข็งแรงมั่นคง สวยงามเหนือกาลเวลา ถ้วยชามสังคโลก ซึ่งเป็นเคลือบปั้นดินเผาที่โด่งดังของไทย แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ลวดลายคล้ายของจีน มากกว่าไทย เพราะคนไทยเป็นคนออกแบบ แล้วส่งให้ช่างชาวจีนทำตามแบบ เพราะในขณะนั้น เรามีเทคโนโลยี ในการทำเครื่องปั้นดินเผา ไม่สูงเท่าจีน เมื่อเผาเรียบร้อย จีนก็ส่งกลับมา เราก็ได้เครื่องสังคโลกมาในลักษณะดังนี้... ตอนหลังมีการส่งช่างไทย ไปเขียนที่จีนเองด้วยนะคะ ประมาณว่า ไม่ได้ดั่งใจเลย หน้านางฟ้าอวบกลม ตามลักษณะที่ชาวจีนนิยมมาเลยเชียว ภายในพระตำหนักแดงจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ ในชีวิตประจำวันของชาววัง ซึ่งทำให้ผู้เข้าชมได้มองเห็นภาพการใช้ชีวิต ของชาววังในสมัยก่อน ว่ามีความละเอียดอ่อน และปราณีตเพียงไร * กระซิบบอกหน่อยว่า พระตำหนักแดงเป็นอาคารไม้ พื้นไม้ การเข้าชมส่วนการจัดแสดงนี้เป็นห้องปรับอากาศ และต้องถอดรองเท้า ฉะนั้นก่อนที่จะเดินจนเหงื่อตก แล้วเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ รีบเดินมาชมที่ตำหนักแดงกันก่อนนะคะ ออกจากพระตำหนักแดง ทีนี้ก็ต้องเลือกหนักอีกแล้ว ว่าจะเดินไปดูส่วนการจัดแสดงไหนก่อนดี เพราะหากเดินถัดเข้าไปด้านใน ก็จะเป็นอาคารมหาสุรสิงหนาท ที่จัดแสดงศิลปะไทย เอเชีย และต่างชาติ เป็นสถานที่ที่เหมาะมาก ๆ สำหรับการศึกษาศิลปกรรม ของประเทศเพื่อนบ้านของเรา โดยเฉพาะศิลปะอาเซียน อาคารนี้มีสองชั้น เดินชมไปแต่ละส่วน ก็เหมือนหลุดเข้าไปอยู่แต่ละยุค ด้วยการจัดแสงที่อลังการ ทำให้รู้สึกได้เลยว่า รูปสลักเทวรูปต่าง ๆ มีความน่าเกรงขามเพียงไร เดินไปมาจนบ่ายคล้อย ก็เริ่มวังเวงใจ เพราะมาถึงส่วนการจัดแสดงชั้นบน ซึ่งเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์ มีโครงกระดูกด้วย...แง... แต่ ก็มีภัณฑารักษ์ นั่งอยู่ตามจุด เพื่อคอยดุ เวลาเราเข้าไปใกล้ วัตถุจัดแสดงมากเกินไป หรือเผลอไปถ่ายรูปใช้แฟลช ถ่ายวีดิโอ และรอตอบคำถามข้อสงสัยทางประวัติศาสตร์ อยู่เป็นระยะ *ถ้ามาคนเดียวก็ไม่ต้องกลัวไป คุณภัณฑารักษ์อยู่พิพิธภัณฑ์บ่อยกว่าเรา นานกว่าเรา แถมเวลาไม่มีใครเข้ามาดูส่วนนี้ ก็ต้องนั่งอยู่คนเดียว โอกาสวังเวงใจของคุณภัณฑารักษ์ มีเยอะกว่าผู้เข้าชมมาก ๆ ค่า... ชุดไทยอันงามวิจิตร ซึ่งจัดแสดงอยู่ใน พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ออกมาจากอาคารพิพิธภัณฑ์สองชั้น ก็เวลาเหลืออีกเพียงหนึ่งชั่วโมง พิพิธภัณฑ์ก็จะปิด ดิฉันจึงต้องรีบทำเวลา เดินจ้ำไปดูห้องจัดแสดงอื่น ๆ ให้ครบ โดยต้องลดความเพลิดเพลินเจริญใจลงไปบ้าง เพื่อเดินดูให้ครบทุกห้อง แต่ยังเหลืออีกมากมายหลายห้องเหลือเกินคุณเอ๊ย.... คุ้มค่าราวกับเสียค่าเข้าชม แปดแสนแปดหมื่นบาท มาที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พระราชฐานชั้นใน ที่อดีตเคยเป็นที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลหลายพระองค์ หรือที่เรียกกันว่า วังหน้า หรือ พระมหาอุปราช ซึ่งมีฐานะเป็นองค์รัชทายาท เป็นผู้ที่มีสิทธิ์จะขึ้นครองราชต่อไปนั้นเอง คิดดูสิคะไพร่อย่างดิฉันมีโอกาสได้เข้ารั้วเข้าวัง ได้มาเห็นข้าวของเครื่องใช้ อันปราณีตของชาววังแบบใกล้ชิด ช่างเป็นบุญตาจริง ๆ หมวด และ เสื้อของทหาร ที่ใช้สวมเพื่อออกรบจริง ทั้งตัวถูกเขียนยัตน์ สวยงามมาก ตอนแรกนึกว่าเป็นของจำลอง แต่คุณภัณฑารักษ์บอกว่า ของจริงค่า... นอกจากจะได้เห็นว่าคนในยุคนั้น มีความคิดความเชื่ออย่างไร ยังได้เห็นว่างานตัดเย็บ ในยุคที่ไม่มีจักรเย็บผ้า ก็เนี้ยบปราณีต แม้กระทั่งเครื่องแบบทหารนะคะ ใจอยากถ่ายรูปให้ชัดกว่านี้ แต่ตื่นเต้นมาก จนมือสั่นจริง ๆ ค่ะ ใครอยากเห็นของจริง ชมได้ที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัยนะคะ ศิลปวัตถุทุกชิ้นที่นำมาจัดแสดง ไม่มีชิ้นไหนเลย ที่ดิฉันไม่อยากถ่ายภาพ ยิ่งไปพิพิธภัณฑ์บ่อย ยิ่งรู้สึกว่าทำงานเป็นภัณฑารักษ์ จะได้นั่งเฝ้า นั่งมองสิ่งของจัดแสดง ทุกวันที่มาทำงาน ถ้าดิฉันทำงานที่พิพิธภัณฑ์ คงมีความสุขดีแท้ ๆ เวลาไม่มีคนมาก็ทำนั่งสมาธิ เดินจงกรมไปมา พอมีคนเข้ามาก็ออกมาต้อนรับ ตอบคำถาม และจากการเดินดูพิพิธภัณฑ์จนครบทุกส่วน พบว่าภัณฑารักษ์ที่นี่ทุกคนมีความสุขใจ ที่ได้ตอบคำถามแก่ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์มาก ๆ ค่ะ ยินดีตอบ เต็มใจให้ความรู้ แถมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสารพัด ถูกจริตดิฉันเป็นที่สุด ส่วนการจัดแสดงส่วนสุดท้าย ที่ดิฉันอยู่จนกระทั่งพิพิธภัณฑ์ปิด ก็คือ โรงราชรถ ที่ดิฉันรู้สึกถึงพลังของความรัก ความเศร้าโศก ความอาลัย และความอบอุ่นแห่งพระเมตตา ที่สถิตย์อยู่ในสายลม ที่พัดผ่านกายมนุษย์ทุกผู้ทุกคน ที่ยืนอยู่ในโรงราชรถ รูปปั้นเทวดาอารักษ์ งดงามราวมิใช่ฝีมือมนุษย์เป็นผู้สร้าง งามราวกับเทวดาจำแลงกาย และทำให้หัวใจของดิฉันหลุดลอย ลืมแม้กระทั่งลมหายใจของตนเอง เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลโรงราชรถทุกคนต่างเข้าใจดี ว่าทุกคนที่เข้ามาชมราชรถ และวัตถุจัดแสดงในโรงราชรถนี้ ต่างต้องการใช้เวลา อยู่กับสิ่งจัดแสดง ณ ที่แห่งนี้ให้ยาวนานที่สุด จึงได้อนุญาตให้ยืนชม ราชรถ จนกระทั่งเลยเวลาปิดพิพิธภัณฑ์ไปเล็กน้อย ทุก ๆ ครั้ง ที่ดิฉันเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ หัวใจของดิฉันมักนำความรู้สึกที่ดี ออกมาด้วยเสมอทุกครั้ง พิพิธภัณฑ์มอบพลังบวกให้แก่ดิฉันเสมอ หากขาดพลัง ขาดกำลังใจชีวิต ดิฉันขอแนะนำให้เข้าพิพิธภัณฑ์ เพื่อไปเรียนรู้การเกิดดับ ของทุกสิ่ง และการอยู่อย่างมีความหวัง สิ่งของจัดแสดงแต่ละชิ้น ก็เป็นตัวแทนของยุคสมัย เป็นตัวแทนของอดีต ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนกระทั่งมาเป็นชาติไทยเช่นในวันนี้ แผ่นดินผืนนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านสนามรบ ผ่านสงคราม ผ่านการพลัดพราก ความสูญเสีย ผ่านการปรับเปลี่ยนนานับประการ ศิลปวัตถุเหล่านี้ก็ยังคงรอดพ้น มาบอกเล่าเรื่องราว ของยุคสมัยเหล่านั้น และให้กำลังใจแก่พวกเรา ว่าทุกอย่างล้วนผ่านพ้นไป ไม่ว่าเรื่องร้าย หรือดี ดิฉันขอแนะนำผู้ที่เรียนทางด้านศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นนาฎศิลป์ ดนตรี กวี ศิลปะ สถาปัตย์ ฯลฯ ว่าควรจะหาโอกาสมาพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อที่จะได้ทราบว่า ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปเพียงใด อาณาจักรแห่งใดจะล้มสลาย ผู้คนชนเผ่าใดจะล้มตาย ศิลปะ คือสิ่งที่คงอยู่ จงอย่าท้อแท้ แล้วเดินถอยหลังให้กับสิ่งที่รัก แม้คนทั่วไปจะไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ เพราะแท้จริงแล้ว เรากำลังทิ้งร่องรอยแห่งอารยะ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา เหมือนกับที่ดิฉันรู้สึกสงบ อบอุ่นใจทุกครั้ง ที่ได้ชื่นชมความงามของศิลปวัตถุ ในพิพิธภัณฑ์ * ภาพปก และภาพประกอบบทความโดยผู้เขียน ซึ่งกล้องถ่ายภาพ ไม่สามารถบันทึกความงดงามที่แท้จริง ของศิลปะวัตถุเหล่านั้นไว้ได้เลยค่ะ ไปชมของจริงแล้วจะรู้ค่ะ ว่าทำไมดิฉันถึงชอบไปพิพิธภัณฑ์