อียิปต์เป็นประเทศที่เปี่ยมด้วยมนต์ขลัง ภูมิปัญญา และประวัติศาสตร์อันยาวนาน นอกจากไคโรเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางทางศิลปะและวัฒนธรรม และเป็นที่ตั้งปิระมิดแห่งกิซ่าที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแล้ว เมืองลักซอร์อดีตเมืองหลวงในยุคราชอาณาจักรใหม่ นับเป็นอีกเมืองหนึ่งที่รวบรวมมรดกทางวัฒนธรรมอียิปต์โบราณไว้อย่างครบครัน เป็นที่ตั้งของวิหารขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนา ณ เวลานั้น สุสานของฟาโรห์และราชินีที่ซ่อนเร้นในหุบเขากษัตริย์และราชินี จนถูกเรียกขานเป็นเมืองพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก หากมีใครถามฉันตลอดการเดินทางในดินแดนไอยคุปต์ ที่เริ่มต้นจากเมืองอัสวาน ผ่านเมืองลัคซอร์ กระทั่งไปสิ้นสุดที่ไคโรว่าประทับใจสถานที่ใดมากที่สุด ฉันจะตอบทันควันโดยไม่ลังเลว่า วิหารในตัวเมืองลักซอร์ เริ่มจากวิหารคาร์นัก วิหารคาร์นักสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่สักการะสุริยะเทพอมุน-ราที่เป็นเทพสูงสุดของอาณาจักรในเวลานั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นฟาโรห์แทบจะทุกพระองค์ในยุคราชอาณาจักรใหม่จึงล้วนมีส่วนร่วมในการก่อสร้างและต่อเติมวิหารแห่งนี้จนกลายเป็นศาสนสถานขนาดใหญ่ นั่นทำให้วิหารแห่งนี้มีความซับซ้อนเต็มไปด้วยวิหารย่อยบูชาเทพเจ้าองค์ต่าง ๆ โดยมีวิหารหลักได้แก่วิหารบูชาสุริยะเทพอมุน-ราที่ศักดิ์และศรี ณ เวลานั้นเปรียบเสมือนมหาเทพในยุคราชอาณาจักรใหม่ วิหารบูชาเทพีมัต (Mut) ผู้เป็นชายา และวิหารบูชาเทพมอนตู (Montu) ที่เป็นเทพแห่งสงคราม เพราะเป็นสถานที่สักการะสุริยะเทพอมุน-รา นักท่องเที่ยวยืนอย่างสงบอาบแสงแดดที่ส่องลงมาโดนตัวนิ่งนาน ราวกับกำลังรับพรจากสุริยะเทพ ภายในเขตวิหารเต็มไปด้วยห้องโถง และลานกว้างภายใน มีป้อมประตูทางเข้าขนาดใหญ่ที่ปลายด้านบนสอบเข้าหากันอันเป็นลักษณะเฉพาะของอียิปต์สไตล์ที่เรียกว่าไพลอน (pylon) เป็นตัวเชื่อมพื้นที่เหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกันถึง 8 ป้อมประตู กินอาณาบริเวณกว้างถึงกว่า 500 ไร่ กลายเป็นศาสนสถานที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางความรุ่งเรืองของอียิปต์ในยุคราชอาณาจักรใหม่ ทางถนนที่มุ่งไปสู่วิหารคาร์นักเรียกขานกันว่าถนนสายสฟิงซ์ สองข้างทางนั้นขนาบด้วยแถวรูปปั้นสฟิงซ์ที่ท่อนล่างเป็นสิงห์แต่ท่อนบนเป็นแกะเรียงรายไปตลอดแนว นี่เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเอาซะเลย เพราะชินตาว่าสฟิงซ์นั้นจะต้องเป็นรูปปั้นที่ท่อนล่างเป็นสิงห์และมีศรีษะเป็นคน หากที่นี่ศรีษะเป็นแกะ แต่.. ไม่ต้องแปลกใจไป ในเมื่อแกะนั้นถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของสุริยะเทพ อมุน-รา ถนนสายสฟิงซ์ และเสาโอเบลิสก์ของฟาโรห์เซติที่ 2 ภายในวิหารคาร์นักที่ฉันติดใจที่สุด ยินยอมที่จะเดินวนเวียนอยู่ในนั้นเวียนซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าไม่อยากออกไปไหนคือ ห้องโถงขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Hypostyle Hall ครอบคลุมพื้นที่ราวห้าพันกว่าตารางเมตร มีจำนวนเสาทั้งสิ้น 134 เสา แต่ละเสาสูง 22 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.5 เมตร จำนวนเสาที่มากมายถึง 134 ต้นนั้นสร้างขึ้นเพื่อค้ำยันเพดานห้องโถงกว้าง ทำให้แม้จะสร้างห้องโถงขนาดใหญ่ได้ แต่ภายในห้องโถงก็ถูกเสาขนาดยักษ์เบียดบังพื้นที่ไปมหาศาล กำลังนึกสงสัยว่าเสาใหญ่ขนาดนี้จะต้องใช้คนยืนโอบกี่คนถึงจะรอบ นักท่องเที่ยวอีกกลุ่มคงสงสัยเช่นกัน จึงพากันยืนโอบรอบเสา เสียงเฮดังขึ้นเมื่อพวกเขาทำได้สำเร็จ คำตอบคือ “11 คน “ เสาเหล่านี้ใหญ่ถึงขนาดต้องใช้คน 11 คนยืนโอบถึงจะรอบเลยทีเดียว ทางไปยังห้องโถงไฮโปสไตล์ เสาใหญ่ขนาด 11 คนโอบ จำนวนเสาที่หนาแน่นที่หัวเสาเป็นรูปต้นปาปิรุสนั้นนอกจากเพื่อค้ำยันเพดานแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นการจำลองภาพในลุ่มแม่น้ำไนล์ที่ริมฝั่งเต็มไปด้วยต้นปาปิรุสขึ้นเนืองแน่น หากแหงนคอขึ้นไปมองเสาและคานที่อยู่ด้านบนจะเห็นร่องรอยภาพสลักที่มีสีดั้งเดิมแต่งแต้มให้เห็น สีน้ำเงิน แดง เหลือง ทั้งหมดที่เห็นเป็นแม่สีทั้งสิ้น ในอดีตที่ภาพสลักเหล่านี้สียังแจ่มชัด จะเจิดจ้าและสดสวยขนาดไหน นอกเหนือจากห้องโถงไฮโปสไตล์แล้ว... ที่โดดเด่นในวิหารคาร์นักคือเสาโอเบลิสก์ เสาโอเบลิสก์เป็นสถาปัตยกรรมแท้ ๆ ของอารยธรรมอียิปต์โบราณ หากใครเคยเดินทางท่องโลกมาหลายแห่งจะรู้ว่า เสาโอเบลิสก์เมดอินอียิปต์นั้นออกเดินทางท่องโลก ไปปักหลักปักฐานอยู่ต่างแดนจนกลายเป็นแลนด์มาร์กของสถานที่นั้น ๆ อยู่หลายแห่งไม่ว่าจะเป็นที่ปารีส ลอนดอน นิวยอร์ก โรม นี่จึงเป็นโอกาสที่จะได้เห็นสภาพดั้งเดิมที่แท้ว่าชาวอียิปต์นั้นสร้างสรรค์เสาโอเบลิสก์ขึ้นเพื่อถวายองค์สุริยะเทพและจะตั้งวางเสาเหล่านี้เป็นคู่ด้านหน้าป้อมประตูไพลอน เสาโอเบลิสก์ภายในวิหารคาร์นักที่หลงเหลืออยู่นั้นมีด้วยกัน 4 ต้น ต้นแรกตั้งอยู่ตรงบริเวณถนนสายสฟิงค์ ซึ่งแทบจะไม่เป็นที่สังเกตและได้รับความสนใจเพราะไม่สมบูรณ์และมีขนาดที่สั้นมาก สร้างขึ้นโดยฟาโรห์เซติที่ 2 (Seti II) ต้นที่สองสร้างขึ้นในสมัยฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 (Tuthmosis I) ซึ่งมีความสูง 22 เมตร หนัก 140 ตัน อยู่บริเวณลานระหว่างป้อมประตูไพลอน 3 และ 4 ซึ่งฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 นี่เอง หากไล่ตามประวัติแล้วน่าจะเป็นบิดาที่แท้จริงของพระนางฮัตเชปซุต ราชินีมีเครา ที่ได้สร้างตำนานสนับสนุนการขึ้นครองราชย์ของตนเองว่าเป็นบุตรีแห่งสุริยะเทพอมุน-รา เสาโอเบลิสก์ต้นที่ 3 อยู่ถัดห่างไปไม่ไกล เป็นเสาที่สร้างขึ้นโดยพระนางฮัตเชปซุต มีความสูง 30 เมตร เป็นเสาที่สูงที่สุดในบรรดาเสาโอเบลิสก์ในวิหารคาร์นักที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งนอกเหนือจากเสานี้แล้ว ยังมีเสาโอแบลิสก์อีก 1 เสาที่สร้างขึ้นโดยพระนางฮัตเชปซุตเช่นกันแต่อยู่ในสภาพที่หักพัง จึงถูกวางแสดงในแนวราบ ความจริงแล้วในวิหารคาร์นักไม่ได้มีเสาโอเบลิสก์แค่ 4 ต้น แต่ยังมีอีกสองต้นที่เหลือแต่ฐาน เพราะตัวเสาได้รับการขนย้ายไปตั้งที่เมืองอิสตันบูล และกรุงโรม เสาโอเบสิสก์ฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 เสาโอเบสิสก์ฟาโรห์ทุตโมซิสที่ 1 และพระนางฮัตเชปซุส ใกล้ ๆ กับวิหารคาร์นักถัดไปไม่ไกลนักยังมีวิหารสำคัญอีกแห่งชื่อว่าลัคซอร์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเชื่อมต่อกันด้วยถนนสายสฟิงซ์ โดยเริ่มจากถนนสายสฟิงซ์ตรงบริเวณวิหารบูชาเทพดวงจันทร์คอนซู ไปบรรจบถนนสายสฟิงซ์ที่วิหารลัคซอร์ ความต่างของถนนสายสฟิงซ์ทั้งสองอยู่ที่สฟิงซ์ที่วิหารคาร์นักนั้นศรีษะเป็นแกะแต่ที่วิหารลัคซอร์นั้นศรีษะเป็นคน ปัจจุบันถนนสายสฟิงซ์ทั้งสองไม่ได้บรรจบกันแล้ว เหลือเพียงร่องรอยหลงเหลือให้พอปะติดปะต่อได้ว่าเคยเชื่อมต่อถึงกันด้วยระยะทาง 2.5 กิโลเมตร และเชื่อกันว่าทุก ๆ ปีจะมีขบวนแห่เฉลิมฉลองสุริยะเทพอมุน-รา เทพีมัตผู้เป็นชายา และเทพดวงจันทร์คอนซูที่เป็นโอรสจากวิหารคาร์นักไปยังวิหารลุคซอร์ วิหารลุคซอร์นั้นไม่ซับซ้อนชวนตื่นตะลึงเท่าวิหารคาร์นัก ตรงป้อมประตูทางเข้าไพลอนแรกด้านหน้าเป็นรูปปั้นแกะสลักขนาดใหญ่ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ซึ่งเป็นผู้สร้างวิหารอาบูซิมเบล และเป็นผู้สร้างป้อมประตูที่วิหารแห่งนี้ นอกจากรูปปั้นขนาดใหญ่ทั้งท่านั่งและยืนแล้ว ด้านหน้าป้อมยังมีเสาโอเบลิสก์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ 1เสา ซึ่งจริง ๆ แล้วควจะมีตั้งอีก 1 เสาคู่กันหากถูกขนย้ายไปยังกรุงปารีสในสมัยที่นโปเลียนเข้ามายึดครองอียิปต์ ที่วิหารลุคซอร์นั้นมีห้องโถงแบบไฮโปสไตล์เช่นกัน แต่ไม่ยิ่งใหญ่ ชวนตื่นตะลึงเท่าที่วิหารคาร์นัก เสาที่นี่แตกต่างจากเสาที่วิหารคาร์นักตรงเป็นเสาที่ออกแบบเป็นก้านต้นปาปิรุส 6 ก้านมัดรวมกัน เรียกว่า Papyrus bundle column นี่เป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่า เส้นสายอะไรต่อมิอะไรที่มนุษย์นำมาใช้ในงานสร้างสรรค์ศิลปะนั้นล้วนได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติทั้งสิ้น เสาก้านต้นปาปิรุส 6 ก้านมัดรวมกัน เรียกว่า Papyrus bundle column ขณะที่เดินดูภาพสลักบนฝาผนังสะดุดกับภาพสลักเทพเจ้าองค์หนึ่งถึงขั้นต้องชี้ชวนกันดู กลายเป็นประเด็นถกกันอย่างจริงจัง ว่าเป็นภาพสลักของจริงหรือโดนแต่งเติมภายหลังกันแน่ ภาพที่ว่าเป็นภาพเทพเจ้าผู้ชายที่ยืนขาชิดมีอวัยวะเพศชูชันขึ้นมา เทพจ้าองค์ดังกล่าวคือเทพเจ้ามิน (Min) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ช่างเข้าใจสื่อเชียวเพราะความอุดมสมบูรณ์สามารถตีความได้ทั้งความอุดมสมบูรณ์ทางพืชผลการเกษตร หรือจะสมบูรณ์ด้ายความสามารถในการมีทายาทสืบสกุล เทพมิน เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และเพราะภาพเทพเจ้ามินภาพสุดท้ายเดียวแท้ ๆ ทำให้ภาพจำสุดท้ายของวิหารใหญ่ทั้งสองแห่งของเมืองลัคซอร์ กลายเป็นภาพเทพเจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ไปซะอย่างนั้น ภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย "วันอาทิตย์" เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !