ถ้าเปรียบชีวิตเป็นเหมือนกับเกม ๆ หนึ่ง และ เราเองรับบทบาทเป็นตัวละครที่ต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามาในชีวิต เพื่อที่จะเอาชีวิตรอดให้ได้ในโลกใบนี้ และ ในแต่ละวัน แต่ละกิจกรรม แต่ละประสบการณ์ที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่ขัดเกลาความเก่งกาจของตัวละครตัวนั้น ๆ ให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ผมว่าการเดินทาง ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะเพิ่มค่าประสบการณ์ หรือ EXP ได้ดีมาก ๆ วิธีหนึ่งเลย ยิ่งถ้าเป็นการเดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยไป กับวัฒนธรรมที่เราไม่คุ้นชิน ภาษาที่ไม่ค่อยได้ใช้ อาหารที่ไม่ใช่อาหารอันคุ้นเคยที่กินมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ในสถานการณ์นั้นยิ่งทำให้เราเติบโตขึ้นได้อย่างมากมายทีเดียว ประสบการณ์ที่ผมอยากจะพูดถึงครั้งนี้เป็นประสบการณ์ การเดินทางไปยังประเทศที่ไม่ห่างไกลนักจากบ้านเรา ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมงบนเครื่องบินเท่านั้น ประเทศนั้นก็คือ ประเทศฟิลิปปินส์ 03.00 ประเทศไทย 8 มีนาคม 2563 ผมนั่งอยู่บนอากาศยานสีเขียวเหลืองที่จะเป็นพาหนะพาผมทะยานสู่ชั้นบรรยากาศ และ พาผมข้ามเส้นแบ่งเขตที่เรียกว่าประเทศไปสู่อีกประเทศหนึ่ง ผมหาข้อมูลมาพอสมควรสำหรับประเทศฟิลิปปินส์นี้ ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ พอสังเขป รู้สึกโล่งใจนิดหน่อยที่ได้รู้ว่าส่วนใหญ่ผู้คนใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ ทำให้ผมน่าจะดำเนินชีวิตรอดได้ในประเทศนี้ แต่ลึก ๆ ก็ต้องบอกว่า มีหวั่น ๆ อยู่บ้าง " ครั้งแรกใคร ๆ ก็ต้องเป็น " ผมคิดกับตัวเองในใจแบบนั้น เสียงของกัปตันผู้คุมอากาศยานลำใหญ่ยักษ์ประกาศออกมาผ่านลำโพง สิ้นเสียงของกัปตันเครื่องบินค่อยๆ เคลื่อนที่และเพิ่มความเร็วขึ้น ก่อนจะถีบตัวเองลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่รู้อะไรจะรออยู่ข้างหน้าจริง ๆ ผมหลับไปในไม่กี่นาทีหลังจากนั้น จากความเหนื่อยล้าของการเดินทาง ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงประกาศของกัปตันคนเดิมที่จับใจความได้ว่า ตอนนี้เราอยู่บนน่านฟ้าของประเทศฟิลิปปินส์แล้ว และอีกไม่นานเราจะลดระดับลง ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง สิ่งแรกที่ต้อนรับผมในน่านฟ้าของประเทศแห่่งหมู่เกาะนี้คือ แสงแรกสีส้มที่ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นตามเวลา เหมือนเป็นคำทักทายอย่างเป็นมิตร ที่กระซิบบอกเบา ๆ ในหัวผมว่า ยินดีต้อนรับ แม้จะนอนไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น แต่ผมก็ไม่ได้หลับอีกเลยจนกระทั่งเราลงจอดที่สนามบิน เพราะคงไม่บ่อยนักที่เราจะมีโอกาสมองก้อนเมฆ มองท้องฟ้าโดยไม่ต้องแหงนหน้าแบบนี้ 07.00 ประเทศฟิลิปปินส์ 8 มีนาคม 2563 ในที่สุดผมก็มายืนอยู่ในประเทศฟิลิปปินส์อย่างปลอดภัย หลังจากใช้เวลาบนท้องฟ้าเกือบ ๆ 4 ชั่วโมง เป้าหมายแรกจากการที่ค้นคว้าหาสถานที่ท่องเที่ยวมา คือ อยากไปดูสถาปัตยกรรมของโบสถ์ที่นี่ เพราะได้เห็นว่ามีโบสถ์ที่สวย ๆ มากมายตอนที่ผมกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้อยู่ แล้วก็ไปสะดุดตากับโบสถ์เก่าแก่หลังหนึ่งที่ถึงแม้จะเห็นแค่รูปภาพในตอนนั้น ก็บอกได้เลยว่ามันเก่าแก่มากแน่นอน และที่สำคัญมันดูมีพลังอย่างมาก ผมจึงตัดสินใจทันทีว่าจะไปที่นี่ San Agustin Church จุดหมายแรกในดินแดนแห่งหมู่เกาะ หลังจากตกลงราคาเรียบร้อยผมก็เดินทางไปยังโบสถ์ San agustin ทันที ที่นี่เป็นโบสถ์ที่มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน โดยสร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1571 ในตอนนั้นยังเป็นไม้ไผ่และใบจาก แต่ถูกไฟไหม้ไป จึงมีการก่อสร้างขึ้นอีกครั้งในสถานที่เดิม หลังจากนั้นก็ถูกทำลายด้วยอัคคีภัยเช่นเดิม ก่อนจะบูรณะเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1607 โบสถ์หลังนี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 2003 อีกด้วย ผมยืนอยู่ตรงหน้าโบสถ์ San Agustin ที่บวกลบแล้วมีอายุ 413 ปี เลยทีเดียว ความเก่าแก่นี้ทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก สถาปัตยกรรมของที่นี่เป็นสไตล์ยุโรป ผสมผสานเอกลักษณ์ของช่างฝีมือประติมากรรมแบบจีนและฟิลิปปินส์ เป็นโบสถ์คาทอลิคในลัทธิอะกุสติน แห่งแรกที่สร้างขึ้นบนเกาะลูซอน ทันทีที่สเปนมีชัยเหนือกรุงมะนิลา เดินต่อไปไม่ไกล ผมก็ได้เจอกับโบสถ์อีกแห่งหนึ่งที่มีขนาดที่ใหญ่ และ สวยงามไม่แพ้กันเลยที่นี่คือ Manila Cathedral หรือ มหาวิหารมะนิลา มหาวิหารหลังนี้เองก็ถูกทำลายมาหลายครั้งโดยดั้งเดิมนั้นถูกสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1581 แต่หลังที่เห็นในปัจจุบันนี้ คืออาคารรุ่นที่ 8 ที่ถูกสร้างแล้วเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1958 ถ้าเปรียบทั้งสองที่นี้เป็นเหมือนคน ๆ หนึ่ง นี่คงจะเป็นผู้สูงอายุ 2 ท่าน ที่ผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ ผ่านร้อน และ หนาว มาอย่างโชกโชนทีเดียว และคุณปู่ทั้ง 2 ท่านนี้ ก็คอยบอกถึงประวัติศาสตร์และความเป็นมาต่าง ๆ ให้กับคนรุ่นใหม่ ๆ ได้มีโอกาสเข้าใจ ได้มีโอกาสได้รับฟัง เชื่อเหลือเกินว่า คนที่ได้มาสบตาคุณปู่ทั้ง 2 ท่านนี้ จะสัมผัสได้ถึงความน่ายำเกรงของประสบการณ์ที่ทั้ง 2 ได้เผชิญมาอย่างแน่นอน เหมือนกับที่ผมยืนขนลุกอยู่ในตอนนี้ หวังจริง ๆ เลยว่า ทั้ง 2 แห่งนี้ จะยังคงอยู่บอกเล่าเรื่องราวต่อไปอีกตราบนานเท่านาน 08.00 มะนิลา ฟิลิปปินส์ 9 มีนาคม 2563 " วันนี้จะได้ไปภูเขาไฟ " ประโยคนี้ปลุกผมตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 2 ในประเทศแห่งหมู่เกาะนี้ ตั้งแต่เด็ก ๆ ผมชอบดูสารคดี และ มีหลายครั้งที่ได้เห็นภูเขาไฟจากในทีวี ในรูปถ่ายต่าง ๆ แต่ไม่เคยได้ไปเหยียบภูเขาไฟที่ยัง Active หรือมีโอกาสที่จะปะทุเลย จึงตัดสินใจได้ไม่ยากว่าอยากจะไปภูเขาไฟ จึงพยายามค้นหาภูเขาไฟที่เราจะไปได้และไม่ไกลจากมะนิลามากนัก เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ก็เลยได้เจอกับภูเขาไฟตาอัล ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมะนิลาเท่าไหร่นัก และ ที่สำคัญมันพึ่งปะทุปล่อยลาวา และ เถ้าถ่านออกมาล่าสุดเมื่อเดือน มกราคม หรือ 2 เดือนก่อนหน้านี้นี่เอง ผมจึงไม่ลังเลเลยที่จะไปที่นี่ เมื่อตัดสินใจแล้วก็อาศัยรถรับจ้างเดินทางไปในทันที เป้าหมายคือภูเขาไฟตาอัล " We can't go on the volcano " ปลายสายของโทรศัพท์ซึ่งเป็นเสียงของพนักงานในท่าเรือที่ผมติดต่อไป บอกกับผมว่าเราไม่สามารถที่จะขึ้นไปบนภูเขาไฟได้ เหตุผลก็เพราะมันพึ่งปะทุไปเมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลจึงไม่อนุญาติให้ใครขึ้นไป ผมผิดหวังเล็กน้อยกับการที่ไม่ได้ขึ้นไปบนภูเขาไฟนี้ " But we can take you as near as we can " ปลายสายบอกกับผมอีกครั้งให้โล่งใจขึ้นมาบ้างว่า เขายินดีที่จะพาผมไปให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไหน ๆ ก็มาแล้วไปให้ใกล้ที่สุดก็ยังดี ผมปลอบใจตัวเองแบบนั้น รถรับจ้างพาผมมาจอดที่ท่าเรืออันเป็นสถานที่ที่ตกลงกันไว้ มองออกไปไม่ไกลมากนักก็เห็นภูเขาไฟตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบ พร้อมกับกลิ่นแก๊สที่ลอยมาจาง ๆ ตามสายลมที่พัดเข้าหาฝั่ง ผมเดินไปก็เห็นเรือลำหนึ่ง พร้อมกับคุณลุงที่กะประมาณด้วยสายตา อายุน่าจะไม่ต่ำกว่า 60 ปี กำลังเตรียมเรือ เพื่อที่จะพาผมไปใกล้ที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ เหมือนกับที่บอกกับผม เรือที่ผมนั่งไม่ใช่เรือลำใหญ่มากมาบ เป็นเรือขนาดกลางที่ชาวบ้านใช้ทั่วไป ลุงค่อย ๆ เดินเครื่องและพาผมพุ่งตรงไปยังภูเขาไปที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบนี้ทันที " Some people still live there , on the volcano " ลุงบอกผมว่ายังมีบางคนที่อาศัยอยู่ข้างบนภูเขาไฟนั้น และ แม้แต่ลุงเองตอนที่ภูเขาไฟปะทุเมื่อต้นปีที่ผ่านมาลุงเองก็ไม่ได้หนีไปไหน ยังคงดำเนินชีวิตตามปกติอยู่เลย แกบอกว่าแกอยู่มาจนชินไปแล้ว เรือค่อย ๆ พาผมเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ภูเขาไฟตาอัลค่อย ๆ ขยายขนาดขึ้นเมื่อเราเข้าใกล้มันมากขึ้น พร้อม ๆ กับกลิ่นแก๊สที่ค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเช่นเดียวกัน จนกระทั่งเราเข้ามาถึงในระยะที่ใกล้ที่สุด ซึ่งก็นับว่าใกล้มากทีเดียว ภูเขาไฟลูกนั้นตั้งอยู่ตรงหน้าของผมในตอนนี้ ลุงค่อย ๆ ชะลอเรือ และปล่อยให้เรือไหลไปตามกระแสคลื่นเพื่อเปิดโอกาสให้ผมถ่ายรูปได้อย่างเต็มที่ กลิ่นแก๊สที่ลอยมาชัดเจนมากในตอนนี้ ในใจผมยังแอบหวั่นลึก ๆ ว่า ถ้าเกิดมันปะทุตอนนี้ เวลานี้ เราจะทำอย่างไร ? จะรอดชีวิตได้ไหม ? ในขณะที่ผมกำลังหวั่นใจอยู่นั้น ลุงก็เดินไปที่ท้ายเรือ แล้วก็เอนตัวลงนอนร้องเพลงอย่างสบายใจ ทั้ง ๆ ที่แกเองพึ่งได้เห็นมันปะทุมากับตาตัวเองเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้ " นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าประสบการณ์มันต่างกัน " ผมคิดกับตัวเองในใจเมื่อผมมองไปที่คุณลุงคนนั้น ทำให้ได้เข้าใจว่า อีกครั้งหนึ่งถ้าเราเปรียบชีวิตเป็นเหมือนเกมลุงเองก็คงเป็นตัวละครที่ผ่านอุปสรรคมาอย่างมากมาย จนแข็งแกร่ง ค่าประสบการณ์สูง เทียบกับตัวผมแล้ว มันห่างกันคนละขั้วเลย เกมแห่งชีวิตก็เป็นแบบนี้ เราเรียนรู้ ต่อสู้ ก้าวผ่านอุปสรรค หลังจากนั้นก็พบกับ อุปสรรคอันใหม่ที่ยังคงรอเรา เพื่อที่เราจะก้าวข้ามมันไปอีกครั้ง เพื่อไปเจอกับอุปสรรคอีกอันที่รอยู่ต่อไปเรื่อย ๆ อุปสรรคจะไม่มีทางหายไป แม้ตัวเราจะเข้มแข็งขนาดไหนก็ตาม แต่การที่เราสั่งสมประสบการณ์ เรียนรู้และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ ได้มากขึ้น แม้อุปสรรคไม่หายไป ผมก็หวังว่าตัวเองจะแข็งแกร่งมากพอที่จะนอนร้องเพลงได้อย่างสบายใจ แม้จะมีภูเขาลูกใหญ่ขวางอยู่ตรงหน้าได้แบบนี้เหมือนกัน แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ในการที่ได้เดินทางไปยังประเทศฟิลิปปินส์นี้ แต่ช่วงเวลาเหล่านี้กลับสอนผมหลายอย่างเหลือเกิน ผมมองเห็นความเป็นไปของโลกมากขึ้น ความเข้าใจในชีวิตที่มากขึ้น ที่สำคัญ ผมรักอุปสรรคในชีวิตมากขึ้น เพราะผมรู้ว่ามันจะทำให้ผมเติบโตขึ้นผ่านทางการที่ผมเรียนรู้ที่จะก้าวข้ามมันไป การเดินทางอาจจะไม่ใช่ทางเดียวที่จะเรียนรู้ชีวิต และ อาจจะไม่ใช่ทางที่ดีที่สุดในแง่ที่ว่าอาจจะไม่ใช่ทุกคนจะได้รับประสบการณ์ที่ดีแล้วเรียนรู้ได้แบบนี้ แต่ผมก็ยังสนับสนุนอยู่ดี ถ้ามีคนมาถามผมว่าจะไปเที่ยว ที่นั่นที่นี่จะดีไหม ? ไม่มากก็น้อยผมเชื่อว่าเราเติบโตผ่านเรื่องราวเหล่านี้ได้กันทุกคน และถ้าอยากจะลองสัมผัสประสบการณ์อย่างนี้บ้าง ฟิลิปปินส์ ก็เป็นประเทศที่น่าสนใจทีเดียวครับ ที่จะลองไปเก็บเกี่ยว EXP ดู