ชื่อ "ฮาโกดาเตะ" (函館) มาจากภาษาญี่ปุ่น คำว่า "函" (Hako) หมายถึง "กล่อง" และ "館" (Date) หมายถึง "คฤหาสน์" หรือ "ที่พัก" ว่ากันว่าชื่อนี้มีที่มาจากลักษณะของป้อมปราการที่เคยมีอยู่ในอดีต ซึ่งดูคล้ายกล่องนั่นเอง ฮาโกดาเตะเป็นหนึ่งในเมืองแรก ๆ ของญี่ปุ่นที่เปิดต้อนรับชาวต่างชาติหลังจากยุคปิดประเทศ (Sakoku) สิ้นสุดลงในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เมืองนี้มีบทบาทสำคัญในฐานะเมืองท่าสำคัญของฮอกไกโด และยังเป็นสถานที่ที่มีการปะทะกันระหว่างรัฐบาลโชกุนโทกูงาวะกับกองทัพของรัฐบาลเมจิในสงครามโบชิน (Boshin War) ซึ่งนำไปสู่การสิ้นสุดของยุคซามูไร โกเรียวคาคุ ซึ่งเป็นป้อมรูปดาว ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลานี้เพื่อป้องกันการรุกรานจากต่างชาติ ปัจจุบันฮาโกดาเตะเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญที่ผสมผสานวัฒนธรรมตะวันตกและญี่ปุ่นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ผมมีโอกาสได้เดินทางไปเยือนฮาโกดาเตะ เมืองท่าทางตอนใต้ของเกาะฮอกไกโด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีบรรยากาศเฉพาะตัวและเต็มไปด้วยเสน่ห์ ฮาโกดาเตะเป็นเมืองที่มีทั้งประวัติศาสตร์ อาหารอร่อย และวิวสวย ๆ ที่ไม่ควรพลาด ใครที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่มีครบทุกองค์ประกอบแบบนี้ ตามผมมาเลยครับ 1. ยอดเขาฮาโกดาเตะ (Mount Hakodate) ถ้าพูดถึงฮาโกดาเตะ สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงคือวิวกลางคืนจากยอดเขาฮาโกดาเตะ การขึ้นไปชมวิวที่นี่ทำได้โดยการนั่งกระเช้า (Hakodate Ropeway) ขึ้นไปด้านบน ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที จุดชมวิวบนยอดเขามีพื้นที่กว้างขวางพร้อมจุดถ่ายรูปที่ได้รับความนิยมสูงสุด นอกจากวิวกลางคืนที่โด่งดังแล้ว ช่วงพระอาทิตย์ตกดินก็สวยงามไม่แพ้กัน ฤดูหนาวจะเพิ่มความพิเศษด้วยหิมะที่ปกคลุมเมือง ทำให้ทิวทัศน์ยิ่งดูโรแมนติกมากขึ้น 2. ตลาดเช้าฮาโกดาเตะ (Hakodate Morning Market) ตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฮาโกดาเตะ และเป็นศูนย์รวมของวัตถุดิบสดใหม่จากทะเลที่ขึ้นชื่อ โดยเฉพาะอาหารทะเลหลากหลายชนิด บรรยากาศของตลาดเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่เป็นมิตร พร้อมกับเสียงเรียกลูกค้าสร้างความคึกคัก นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมแผงขายสินค้าหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารทะเลสด ผักผลไม้ตามฤดูกาล หรือของฝากพื้นเมือง บริเวณรอบตลาดยังมีร้านค้าและซุ้มขายอาหารที่เปิดให้บริการตั้งแต่เช้าตรู่ 3. โกดังอิฐแดง (Kanemori Red Brick Warehouse) โกดังอิฐแดงเป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์การค้าของฮาโกดาเตะ ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการค้าขายกับต่างชาติในอดีต ปัจจุบันโกดังเหล่านี้ถูกดัดแปลงให้เป็นศูนย์การค้าและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ภายในมีร้านค้า ร้านอาหาร และพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวของเมือง นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นริมอ่าว ชมเรือที่จอดเรียงราย และเพลิดเพลินกับบรรยากาศเก่าแก่ที่ยังคงความงดงามเอาไว้เป็นอย่างดี 4. ย่านโมโตมาจิ (Motomachi District) ย่านนี้เป็นศูนย์รวมของอาคารสไตล์ตะวันตกที่ได้รับอิทธิพลจากการเปิดเมืองค้าขายในสมัยเมจิ ถนนในย่านนี้มีความลาดชันเล็กน้อยและสามารถมองเห็นวิวทะเลจากจุดสูงได้อย่างชัดเจน อาคารสำคัญที่น่าสนใจได้แก่ โบสถ์รัสเซีย (Russian Orthodox Church) ซึ่งมีโดมทรงหัวหอมเป็นเอกลักษณ์ และโบสถ์คาทอลิกฮาโกดาเตะ (Hakodate St. John’s Church) ที่มีสถาปัตยกรรมแบบกอธิก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง ย่านนี้จะมีสีสันสวยงามจากต้นไม้ที่เปลี่ยนสี ทำให้เหมาะแก่การเดินเล่นและถ่ายรูปอย่างมาก 5. โกเรียวคาคุ (Goryokaku) ป้อมปราการโกเรียวคาคุเป็นป้อมรูปดาวที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นฐานป้องกันเมืองในช่วงปลายยุคเอโดะ ปัจจุบันถูกเปลี่ยนให้เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงฤดูซากุระบานในเดือนเมษายน ที่นี่จะกลายเป็นหนึ่งในจุดชมซากุระที่สวยที่สุดในฮอกไกโด นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปบนหอคอยโกเรียวคาคุเพื่อชมวิวมุมสูง ซึ่งจะเห็นรูปทรงดาวของป้อมได้อย่างชัดเจน ฤดูหนาวที่นี่ก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน เพราะหิมะที่ปกคลุมทั่วพื้นที่ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบและงดงาม ฮาโกดาเตะเป็นเมืองที่มีทุกอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ เมืองนี้เหมาะกับนักเดินทางที่ต้องการสัมผัสเสน่ห์ของญี่ปุ่นในมุมที่แตกต่างจากเมืองใหญ่ ๆ เช่น โตเกียว หรือโอซาก้า สำหรับใครที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่มีทั้งวิวสวย ประวัติศาสตร์ และกลิ่นอายของเมืองท่าโบราณ ผมแนะนำให้ลองมาฮาโกดาเตะสักครั้ง รับรองว่าจะต้องประทับใจเหมือนผมแน่นอน! เขียนโดย ตานิ้ง รูปภาพประกอบบทความโดย ผู้เขียน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !