เวียดนาม ไม่ได้มีดีแค่เมืองที่น่ารักกับอ่าวฮาลอง (Halong Bay) ที่อลังการ และโด่งดังจากฉากภาพยนตร์เรื่อง Kong Skull Island ที่ทำให้อ่าวฮาลองกลายเป็นหนึ่งในปลายทางยอดนิยมในปี 2017 แต่ยังมีธรรมชาติที่งดงามสดชื่นในอีกหลายมุม ต้องยอมรับว่าการได้ดู Kong ทำให้ผมอยากตามรอยฉากธรรมชาติที่ดูดิบและอุดมสมบูรณ์จากภาพยนตร์เรื่องนี้จนต้องหอบตัวเองกลับมาเวียดนามอีกรอบ อ่าวฮาลอง จากตำนานสู่มรดกโลก ต้องขอบคุณจางที่หลังจากโดนผมถามหลายรอบหลายคำถามเกี่ยวกับอ่าวฮาลอง ซึ่งล้วนแต่มาจากลูกค้าของเรา ทำให้เธอพาผมไปที่นั่นเองเพื่อจะได้ทำความรู้จักกับที่นี่มากขึ้น จากฮานอย เรานั่งรถบัสของเรือที่เราจองไว้ไปอ่าวฮาลอง ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าจากการที่รถบัสถูกจำกัดความเร็วที่ไม่เกินประมาณ 70 กม./ ชั่วโมง ซึ่งสำหรับผม ได้แต่มองนาฬิกาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเมื่อไหร่จะถึง จนถึงบริเวณที่เต็มไปด้วยเขาหินปูน ผมถึงแน่ใจว่า เรามาถึงอ่าวฮาลองแล้ว คำว่า ฮาลอง (Hạ Long) ในภาษาเวียดนาม หมายถึงมังกรที่ดำดิ่ง ตามตำนานท้องถิ่น เวียดนามเมื่อครั้งถูกรุกราน เทพเจ้าต้องการช่วยชาวเวียดนามปกป้องดินแดน จึงส่งครอบครัวมังกรลงมาเป็นผู้พิทักษ์ เหล่ามังกรต่างพ่นเพชรพลอยออกมา จนกลายสภาพเป็นเกาะน้อยใหญ่ ที่เป็นกำแพงป้องกันศัตรูเป็นอย่างดี เมื่อเรือผู้รุกรานเข้ามาในเขตนี้ หลายลำชนเข้ากับเกาะ หรือติดกับเงี่ยงหิน นำชัยชนะศึกสู่ชาวเวียดนาม เมื่อสงครามจบลง มังกรได้ดำดิ่งลงและทอดตัวอยู่ในอ่าวแห่งนี้อย่างสงบ ภูมิประเทศของที่นี่สวยงาม เป็นเอกลักษณ์ จน UNESCO ประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ และเป็นสถานที่ต้องห้ามพลาดสำหรับผู้ที่มีโอกาสมาเที่ยวเวียดนามเหนือ ท่าเรือของอ่าวฮาลองไม่ได้เล็กอย่างที่ผมเคยจินตนาการไว้ และไม่ได้มีท่าเรือเดียว ถ้าจะนั่งรถมาเอง ต้องเช็คให้ดีๆว่าเรือที่เราจะขึ้นออกจากท่าไหน แต่ผมแนะนำว่า ให้จองรถมาพร้อมกับบริษัทเรือเลยดีกว่า ป้องกันการหลงท่าเรือ และอาจตกเรือได้ถ้ามาผิดเวลา เรือของเราชื่อ L’Azalee Cruise เป็นเรือไม้ 3 ชั้นรวมดาดฟ้า แต่งขอบด้วยสีเขียวน้ำทะเล กว่าเรือจะออกก็เกือบเที่ยงแล้ว และผมก็หิวซ่ก เมื่อเรือออกจากท่ามาได้พักหนึ่ง ทางเรือจึงทยอยเสิร์ฟอาหาร เริ่มต้นที่ขนมปังฝรั่งเศสชิ้นเล็ก ที่ความเปิ่นของผมคือ ผมไม่รู้ว่าเขาเสิร์ฟอาหารกลางวันด้วย และเข้าใจว่าขนมปังเป็นอาหารกลางวัน ด้วยความหิวมาก ผมจึงทานขนมปังทาเนยไปประมาณ 6 ชิ้น และอิ่มจนไม่สามารถทานอาหารกลางวันที่เสิร์ฟเป็นบุฟเฟต์ได้ ทั้งสลัด ปอเปี๊ยะสดเวียดนาม (ที่น้ำจิ้มคนละแบบกับปอเปี๊ยะญวนบ้านเรา) ยำหมูยอแบบไม่เผ็ด และอีกหลายอย่างที่ถูกขนมปังแย่งที่ไปหมดแล้ว ทะเลของอ่าวฮาลอง เป็นทะเลจีนใต้ น้ำทะเลเป็นสีเขียวมรกตพอๆกับสีที่ทาขอบเรือของเรา แต่ไม่ใสมาก และน่าเสียดายที่บางจุดมีขยะลอยฟ่องจากบ้านเรือนในบริเวณนั้นที่ยังคงทิ้งขยะลงทะเลกัน และจากเรือในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอ่าวฮาลอง ที่มีเกือบพันลำ ฟ้าสีฟ้าใสสด ไม่มีเมฆ และไม่มีลม ทะเลสงบนิ่งมาก ช่วงบ่ายแก่ๆ เราเปลี่ยนลงเรือเล็กเข้าไปยังเกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่นี่เรียกว่า ถ้ำเซอร์ไพรส์ (Sửng sốt cave คำว่า Sửng sốt หมายถึงเซอร์ไพรส์ หรือประหลาดใจในภาษาเวียดนาม) ค้นพบโดยชาวฝรั่งเศสสมัยอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 เป็นหนึ่งในถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในอ่าวฮาลอง และเมื่อเข้ามาแล้ว ผมเข้าใจทันทีว่าทำไมชาวฝรั่งเศสคนนั้นจึงเรียกว่าถ้ำเซอร์ไพรส์ เพราะในอ่าวฮาลองที่กินพื้นที่กว่า 1,553 ตารางกิโลเมตร ใครจะคิดว่าจะมีถ้ำที่สวยสดงดงามซ่อนอยู่ในเกาะเล็กๆแบบนี้ ภายในถ้ำอลังการด้วยหินงอกหินย้อย เพดานสูงโปร่งและกว้าง หินงอกหินย้อยสะท้อนแสงไฟหลากสีที่ประดับไว้ตามจุดต่างๆ ดูแล้วอลังการและไม่ทำให้ผมกลัวเท่ากับถ้ำที่เมืองไทย เต่า เป็นสัตว์มงคลสำหรับชาวเวียดนาม หินงอกหินย้อยมีรูปร่างคล้ายเต่าในถ้ำจึงได้รับความนับถือจากชาวเวียดนามผ่านเงินด่อง (Đồng) ที่วางไว้เพื่อบูชา จุดที่ทำให้ผมตะลึงงันไปชั่วขณะ เมื่อไปถึงคือบริเวณจุดชมวิวของเกาะนี้ ที่มองไปเห็นเขาหินปูนโอบล้อม ที่กว้างไกลสุดสายตา เรือหลายลำสัญจรไปมา เป็นจุดที่สวยและประทับใจที่สุด ก่อนขึ้นเรือ เราลงเล่นน้ำ และพักผ่อนบนชายหาดใกล้ๆ น้ำไม่ใสมากนักตามสไตล์ทะเลจีนใต้ หาดทรายก็เม็ดหยาบกว่าถ้าเทียบกับทะเลฝั่งอันดามัน และต้องสารภาพว่า ผมโคตรกลัวแมงกะพรุนที่นี่เลย ตัวมันใหญ่มากขนาดมองจากเรือยังเห็นลอยบนผิวน้ำชัดเจน และนั่นทำให้ผมไม่กล้าลงเล่นน้ำที่นี่เท่าไหร่ แต่การที่มีแมงกะพรุน บ่งบอกว่าธรรมชาติที่นี่ยังสมบูรณ์มาก ตะวันค่อยๆลับขอบฟ้า เปลี่ยนท้องฟ้าเป็นสีชมพูที่ริมระเบียงดาดฟ้าเรือ ผมดื่มด่ำกับบรรยากาศยามเย็นที่นั่นก่อนจะลงไปลองทำเมนูปอเปี๊ยะญวนที่เชฟชาวเวียดนามสอนให้บนเรือ ค่ำคืนในอ่าวฮาลองนั้น เงียบสงบ ไร้ซึ่งคลื่นลม มีเพียงแสงไฟจากเรือต่างๆที่ทอดสมอลอยลำอยู่กลางทะเลให้นักท่องเที่ยวได้ตกหมึก หรือจะจิบเครื่องดื่มเย็นๆชมวิวตามอัธยาศัย ยามเช้า ผมยอมฝืนร่างกายตื่นมาเพื่อเรียนไทชิที่ดาดฟ้าเรือ (Tai chi) ที่เป็นท่ามวยจีน ฝึกความยืดหยุ่นของร่างกาย โชคดีหน่อยที่เรือของเรามีอาหารเช้าให้ด้วย เพราะบางลำบางโปรแกรมจะมีแค่ brunch ให้ หมายความว่าคุณต้องเก็บท้องไว้กินตอน 10 โมงรวดเดียวทั้งเช้าและเที่ยง เราลอยลำกลางทะเลหนึ่งคืนก่อนที่เรือจะเทียบท่าที่ฟาร์มหอยมุก ที่นี่เป็นแหล่งส่งออกไข่มุกที่ขึ้นชื่อที่สุดในอ่าวฮาลอง วิธีการผลิตมุกของที่นี่คือการใส่เม็ดพลาสติกเล็กๆลงไปในหอยนางรม เมื่อหอยเกิดความระคายเคือง หอยจะสร้างมุกขึ้นเคลือบตัวพลาสติกแปลกปลอมนั้น เลี้ยงไว้ประมาณเดือนนึงจึงนำหอยเหล่านั้นมาแกะ แต่มีเพียงบางตัวเท่านั้นที่จะผลิตมุกได้ มุกที่นี่มีหลายสี ทั้งสีดำ สีชมพู หรือกระทั่งสีเขียวเหมือนปีกแมลงทับที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน ที่นี่คุณสามารถพายเรือคายัคล่องไปทั่วฟาร์มได้ จ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อย แต่ด้วยแดดยามสายที่เปรี้ยงเหลือเกิน ผมขอนั่งชมวิวร่มๆแทนก็แล้วกัน ฮาลองมีเสน่ห์ที่ทำให้ใจผมสงบระหว่างดูเกลียวคลื่นที่แตกตัวช้าๆเมื่อเรือเคลื่อนผ่าน เรามาถึงท่าเรือตอนเที่ยงหน่อยๆ จางพาผมขึ้นรถต่อไปยัง “หนิ่งบิงห์” จุดหมายถัดไป ฮาลองบก หนิ่งบิงห์ (Ninh Bình) เป็นอีกเมืองชนบทเล็กๆทางตอนเหนือของฮานอย ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมงในรถยนต์จากฮาลอง เขียวชะอุ่มด้วยทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา โอบล้อมด้วยเขาหินปูนเหมือนฮาลองเลย แค่เปลี่ยนจากทะเลเป็นบกเท่านั้น กว่าจะถึงโรงแรมในเขตตัมก๊อก (Tam Cốc) ก็เกือบหมดวันแล้ว แต่เรี่ยวแรงยังเหลือ บวกกับความตื่นเต้น และหิวมาก จางพาผมปั่นจักรยานไปตามหมู่บ้านเล็กๆเพื่อทานอาหารเย็น เวียดนามเหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆรอบเราเช่น ลาว เมียนมาร์ หรือกัมพูชาที่เลนถนนจะกลับข้างกันกับบ้านเรา เมื่อผมขี่จักยานที่ปกติต้องชิดซ้าย พอมาขี่ที่นี่เลยต้องชิดขวา และต้องคอยหลบรถยนต์ที่จะบีบแตรส่งสัญญาณเมื่อเขาจะแซง ใช้เวลาพอสมควรกว่าผมจะปรับหัวและปรับตัวกับการขี่จักรยานที่นี่ และโชคดีที่รถไม่มากเหมือนฮานอย ร้านที่จางพาไปเป็นร้านเล็กๆที่เป็นทั้งร้านอาหาร และโฮสเทลสำหรับนักท่องเที่ยวงบน้อย จางสั่งปอเปี๊ยะสด และเนื้อย่างกะทะร้อนกับผักสดแกล้มมากินด้วยกัน กับอาหารท้องถิ่นอีก 2-3 อย่าง ก่อนจะข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ซื้อข้าวแต๋นเวียดนามมาให้ผมลองชิมรองท้องระหว่างรออาหาร ถ้าเป็นบ้านเรา ข้าวแต๋นจะราดน้ำแตงโมหวานๆ แต่ที่นี่ไม่ราดอะไรเลย รสชาติกรอบและมัน ออกเค็มนิดๆ กว่าผมจะรู้เนื้อย่างที่จางสั่งมาเป็นเนื้อแพะก็เกือบหมดจานแล้ว ที่หนิ่งบิงห์ ดังเรื่องเนื้อแพะ เนื้อแพะที่นี่ถูกปรุงอย่างดีจนไม่มีกลิ่นสาบหลงเหลือความเป็นแพะเลย เนื้อนุ่มจนผมคิดว่าเป็นโคขุน จากตัมก๊อก เราสามารถซื้อตั๋วรถนอนไปยังเมืองอื่นๆอย่างเหว๋ ดานัง ซาปา หรือแม้แต่เวียงจันทร์หรือหลวงพระบางในลาวได้เลยครับ ที่โฮสเทลก็ขายตั๋วรถนอนแบบนี้ ซึ่งจากตั๋ว คุณอาจโชคดีได้ภรรยาแถมมาด้วย (จริงๆมันคือ Wi-fi ครับ แต่อาจจะรีบเขียนหรือสะกดผิดไม่แน่ใจ เลยกลายเป็น Wife ไปเสียอย่างนั้น) ขากลับจางชี้ให้ผมดูหมู่บ้านเล็กๆ และท่าเรือที่จะพาผมมาวันรุ่งขึ้น เพราะวันนี้ค่ำแล้ว ค่ำคืนที่หนิ่งบิงห์ อากาศเย็นสบาย และสดชื่นด้วยกลิ่นไอของทุ่งนาและธรรมชาติอย่างที่ผมหาไม่ได้จากชีวิตในเมือง เช้าวันรุ่งขึ้นหลังทานอาหารเช้าที่โรงแรม เราก็คว้าจักรยานสำรวจรอบๆกัน เราปั่นจักรยานผ่านทุ่งนาสีเขียวทั้งสองฝั่งที่มีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูน ข้างถนนอีกฝั่งคือธารน้ำเล็กๆที่น้ำใสจนเห็นปลาและก้นลำธารชัดแจ๋ว สวยงามจนผมอยากจะหยุดเวลานี้ไว้นานๆ จางถามทางชาวบ้านไปเรื่อยๆจนถึงสุดทาง ด้านซ้ายมือคือวัดบนเขาสูงที่มีสะพานทอดผ่านบึงสองข้างที่ถ้าถึงฤดูบัว บัวทั้งสองฝั่งคงบานสะพรั่งสวยงาม หากแต่เวลานี้ที่พ้นฤดู เหลือไว้เพียงซากของความสวยสด เราจอดจักรยานไว้หน้าวัดก่อนจะเดินตามจางข้ามสะพานไป วัดแห่งนี้ชื่อว่า “วัดบิ๊กดง” (Bích Động) หรือวัดถ้ำมรกต เป็นวัดโบราณ ประดิษฐานทั้งนักปราชญ์ที่เคารพนับถือและพระพุทธรูป ในโถงสักการะ ผมพยายามเลียนแบบการไหว้พระแบบเวียดนามจากจาง ดูคล้ายแต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว แบบไทย: พนมมือ ก้มศีรษะให้ปลายหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว 3 ครั้ง แบบเวียดนาม: ก้มศีรษะนิดนึง ขยับข้อมือเอานิ้วหัวแม่มือแตะระหว่างคิ้ว 3 ครั้ง ที่ไทย การสักการะพระเราจะนั่ง หรือคุกเข่ากราบ แต่ที่นี่เพียงแค่ถอดรองเท้าก่อนเข้าโถง และยืนสักการะ จากนั้น จางจึงพาผมปีนขั้นบันไดที่ทั้งชัน และสูงขึ้นไปในหุบเขา แต่ละขั้นเป็นหินที่ทั้งใหญ่และชันจนแอบสงสัยไม่ได้ว่าคนเวียดนามโบราณคงจะสูงใหญ่ไม่แพ้ชาวขอมที่สร้างนครวัด จากจุดชมวิวที่สูงสุดของวัด ภาพของแม่น้ำที่ทอดยาวคดเคี้ยว แวดล้อมด้วยทุ่งนากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา แม้จะหอบแฮกๆจากการปีนบันไดขึ้นมาหลายขั้น แต่อากาศเย็นที่อัดแน่นด้วยออกซิเจนและกลิ่นไอของอากาศบริสุทธิ์ทำให้แทบหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง จางพูดคุยอะไรสักอย่างกับชาวบ้าน ก่อนจะพาผมไปข้างวัดที่มีเส้นทางธรรมชาติ และโขดหิน ผมได้แต่เดินตามเธอไปเรื่อยๆ บางจังหวะก็ต้องปีนขึ้นไปบนหินชันเพื่อข้ามไปอีกฝั่ง อีกฝั่งของเขานั้น ไม่ทำให้ผมผิดหวัง แม้จะเหนื่อยมาก เขาหินโดดตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ขวางกั้นด้วยสระน้ำใหญ่ และทุ่งนา ที่ริมทางเดินมีกระท่อมเล็กๆ กับป่าโปร่งและดอกไม้ป่าอีกด้านหนึ่ง แวดล้อมด้วยความสงบ และไร้ซึ่งผู้คน เราทอดตัวนั่งลงบนพื้นดินริมสระน้ำ วางภาระและความกังวลเรื่องงานไว้ตรงนั้นชั่วคราว มีเพียงเสียงแพะร้องดังมาไกลๆกับเสียงจิ้งหรีดที่ดังแหวกความเงียบมา บรรยากาศสงบแบบนี้ แม้ไม่ใช่จุดไฮไลท์ แต่สำหรับผมแล้ว มันหาซื้อที่ไหนไม่ได้ เราดื่มด่ำกับบรรยากาศตรงนั้นพักหนึ่งก่อนจางจะชวนผมกลับออกมา เรายังต้องไปที่อื่นต่อ เราปั่นจักรยานผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ธรรมเนียมของชาวบ้านที่นี่ คือ เขาจะตั้งน้ำชาร้อนไว้หน้าบ้านสำหรับแขกที่ผ่านไปผ่านมา สามารถแวะดื่มได้ไม่คิดเงิน จางเทน้ำลวกแก้วก่อนจะเทน้ำชายื่นให้ผม เราผ่านวัดท้องถิ่นอีกหลายวัด โฮมสเตย์ และงานแต่งงานที่ธรรมเนียมเวียดนาม จะจัดทั้งงานแต่งงานและงานศพไว้ในบริเวณบ้านตัวเอง สำหรับงานแต่งจะจัดวางโต๊ะจัดเลี้ยง และร้องคาราโอเกะกันข้ามวันข้ามคืน บ้านของชาวหนิ่งบิงห์มีบริเวณที่กว้างกว่าบ้านในฮานอย และส่วนใหญ่มีแค่ 2 ชั้น ในขณะที่บ้านในฮานอยจะมีหน้าแคบกว่าและส่วนใหญ่มี 3 ชั้น จางปั่นนำผมไปตามทางดินลูกรัง เราผ่านทุ่งนาอีกแห่งและหมู่บ้านโบราณ ขึ้นสะพานหินมาจนถึงวัดอีกแห่งชื่อว่า “วัดไถวี” (Thái Vi Temple) บางส่วนของวัดกำลังบูรณะอยู่ ภายในวัดมีลานกว้าง ศาลาสักการะอยู่ตรงกลาง ขนาบข้างด้วยบันไดหินหัวมังกรขั้นเล็กๆ คล้ายบันไดหัวนาคราชบ้านเรา ด้านข้างศาลาอีกด้านหนึ่งเป็นที่อยู่ของมัคนายก และลูกศิษย์ผู้ดูแลวัด หอระฆังดูเก่าแก่กำลังปิดซ่อม ขณะกำลังสักการะพระพุทธรูปภายในศาลา คุณลุงแต่งกายด้วยชุดและหมวกประจำถิ่น ไว้เครายาวสีขาวออกมาเปิดไฟให้พวกเรา จางพูดคุยกับคุณลุง ก่อนที่คุณลุงจะให้พวกเราดูเครื่องดนตรีโบราณ ทั้งพิณที่มีแค่สายเดียว กับคันบังคับรูปร่างคล้ายซอเล็กๆ เรียกว่า “ดั่นเบ่า” (Đàn bầu), ขลุ่ยไม้ไผ่เวียดนามที่ต้องเป่าจากทางด้านข้าง หรือ “เสาชุก” (Sáo trúc), ซอด้วง หรือ “ดั่นหยิ” (Đàn nhị) และขลุ่ยเล็กอีกชนิดหนึ่ง เสียงแหลมคล้ายปี่ คุณลุงเล่นเพลงพื้นบ้านสั้นๆให้พวกเราฟัง ซึ่งไพเราะ และทรงพลังจนผมอยากได้ขลุ่ยเวียดนามสักเลากลับบ้าน เราปั่นย้อนกลับมาทางท่าเรือที่เธอชี้ให้ดูเมื่อวาน ในเวลากลางวัน ท่าเรือที่นี่ดูพลุกพล่านวุ่นวายกว่าที่เห็นเมื่อวานมาก เราขึ้นเรือลำเล็กๆที่มีคุณป้าพายเรือให้อยู่ด้านหลัง ไฮไลท์ของการนั่งเรือที่นี่ คือ การพายเรือด้วยเท้า คุณอ่านไม่ผิดหรอกครับ ชาวเรือที่นี่ใช้เท้าพายเรือ เรือล่องไปตามแม่น้ำ ผ่านท้ังโฮมสเตย์ที่มีนักท่องเที่ยวที่กำลังจิบกาแฟขณะทำงานผ่านโน้ตบุ้ค และสะพานที่เราข้ามตอนไปวัดไถวี ที่เนินริมแม่น้ำ ชาวบ้านสร้างศาลหินและรูปเคารพของเทพผู้คอยปกป้องคุ้มครองผู้คนที่นี่ คุณป้าส่งร่มให้พวกเราเมื่อแดดเริ่มแรงขึ้น ในเรือยังมีไม้พายเล็กๆที่ให้เราสามารถลองพายเองได้ด้วย คุณป้าในเรืออีกลำหนึ่งที่เมื่อรู้ว่าผมเป็นคนไทย ก็ตะโกนทักทายผมด้วยภาษาไทยที่ชัดจนผมอึ้ง เธอรับถ่ายรูปที่ระลึก ซึ่งจะเอาให้ผมตอนถึงฝั่ง เรือลอดถ้ำที่ทั้งเย็น และมืดสนิทก่อนจะทะลุออกอีกฝั่ง ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือแม่น้ำ ที่สองข้างทางคือนาข้าวที่กำลังเขียวขจี ตัดกับสีของเขาหินปูนสีเทา ที่นี่จึงได้ชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฮาลองบก” จางบอกว่า ในฤดูข้าวออกรวงประมาณช่วงเดือนพฤษภาคม นาข้าวทั้งสองฝั่งจะเปลี่ยนภูมิทัศน์ของที่นี่ให้เป็นสีเหลืองอร่าม และงดงามเหมือนภาพที่เห็นในโปสการ์ด ขอบคุณภาพจาก: https://bit.ly/2Sj8BQc เราผ่านถ้ำลักษณะเดียวกันประมาณ 3 ถ้ำและใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงในลำน้ำแห่งนั้น ก่อนที่คุณป้าจะกลับลำอย่างชำนาญพาเราย้อนกลับทางเดิม คุณป้าจิบโค้กไปขณะพายเรือให้เราไป ได้ทำงานในที่อากาศบริสุทธิ์ เย็นสบาย และจิบเครื่องดื่มไปด้วย สำหรับผมไม่มีอะไรน่าอิจฉาไปกว่านี้แล้ว จางบอกว่า คนเรือบางคนฐานะลำบาก บ้างเป็นเพียงเด็กมัธยมที่ยังเรียนอยู่ มารับจ้างพายเรือหาเงินส่งตัวเองเรียนและเลี้ยงครอบครัว ทำให้ผมรู้สึกว่า คนเวียดนามช่างเป็นชาติที่ขยันจริงๆ ไม่บ่อยนักที่จางจะยอมถ่ายรูป เธอเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบออกกล้องเท่าไหร่ การได้รูปถ่ายกับเธอจึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่งในทริปของผมครั้งนี้ ผมยังไม่อยากกลับบ้าน เหมือนกับครั้งที่แล้วที่มาที่นี่ การกลับไทยทำให้ผมรู้สึกมีอะไรค้างคาทุกครั้ง นั่นเป็นเพราะทั้งผู้คน วัฒนธรรม และธรรมชาติที่นี่ ทำให้ผมหลงรัก และอยากแบ่งปันเรื่องราวให้คุณได้รับรู้ในบทความถัดๆไป เครดิตภาพ: นาคิน อ้างอิง: https://bit.ly/3bQDzHd https://bit.ly/2WdQtbA https://bit.ly/2SkuvTk https://bit.ly/3bKWoM1