ยอดเขาคินาบาลู (Mount Kinabalu) ประเทศมาเลเซีย เป็นยอดเขาที่ผมเห็นภาพจากอินเทอร์เน็ตครั้งแรกก็รู้สึกว่าต้องไปให้ได้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่สายลุย รักสบาย แถมยังไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย แต่สุดท้าย ความสวยงามของยอดเขานี้ก็ยั่วยวนทำให้ผมตกหลุมพรางมาเที่ยวจนได้ สำหรับใครที่อยากจะไปพิชิตยอดเขาคินาบาลู นี่คือ 5 เรื่องที่คุณควรรู้ก่อนไปครับ 1. ข้อมูลทั่วไป ยอดเขาคินาบาลูตั้งอยู่บนเกาะโคตาคินาบาลู (Kota Kinabalu) มีความสูง 4,095.2 เมตร หรือคิดง่ายๆ ก็คือสูงกว่าดอยอินทนนท์ประมาณ 1.6 เท่าครับ ถึงแม้ว่าทางอุทยานคินาบาลู (Kinabalu Park) จะเปิดตลอดทั้งปี แต่ผมแนะนำให้ไปช่วงเดือนมีนาคม-สิงหาคมจะดีกว่าครับ เพราะมีโอกาสเห็นฟ้าใส พร้อมปุยเมฆสวยๆ ได้มากที่สุด ในขณะที่ช่วงเดือนตุลาคม - กุมภาพันธ์ เป็นช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเริ่มเข้าฤดูมรสุมแล้ว มีฝนตกเกือบตลอดเวลา ถ้าใครโชคร้ายมากๆ อาจจะอดขึ้นไปปีนเขาได้ครับ 2. วิธีการเดินทาง ผมแนะนำว่าให้จองกับบริษัททัวร์จะง่ายที่สุดครับ เพราะทางอุทยานฯ มีกฎว่านักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมีไกด์และที่พักบนเขา เพื่อป้องกันอันตรายจากการปีนเขาที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ทางอุทยานฯ ยังจำกัดจำนวนคนขึ้นแค่ 135 คนต่อวันเท่านั้น ทำให้การจองไกด์และที่พักด้วยตัวเองอาจจะลำบากไปสักนิด ...พูดง่ายๆ ก็คือ เราควรใช้ “เงิน” ฟาดเพื่อความสะดวกสบายครับ ฮ่าๆๆ การจองทัวร์สามารถทำได้ง่ายๆ ผ่านเว็บ www.mountkinabalu.com จะมีแพ็คเกจให้เลือกหลายแบบ ทั้งไกด์ส่วนตัว แชร์ไกด์กับคนอื่น แพ็คเกจ ferrata ตอกหมุด โรยตัว ปีนหน้าผาก็มีให้เลือกครับ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่หมื่นกว่าบาทจนถึง 2 หมื่นบาทครับ โดยค่าปีนเขามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกๆ ปีนะครับ เพราะผมเคยถามรุ่นพี่ที่เคยปีนเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้น ยังเสียค่าปีนแค่ 6 พันบาทเอง ทั้งนี้ การเดินทางกับบริษัททัวร์สะดวกสบายสุดๆ ครับ ตั้งแต่มารับที่โรงแรม พาไปลงทะเบียน มีแพ็คเกจอาหารและที่พักให้ครบ (อาหารกล่องตอนเดินเขา 1 มื้อ, บุฟเฟต์อาหารเย็น 1 มื้อ, อาหารเช้าวันพิชิตยอดเขาคินาบาลู 1 มื้อ และอาหารเที่ยงหลังจากปีนลงมาจากยอดเขาอีก 1 มื้อ) และก็มีรถไปส่งเรากลับที่โรงแรมในเมือง โดยผมแนะนำว่าถ้าใครอยากไปเที่ยวที่นี่ ควรจองทัวร์ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างน้อยประมาณ 3 เดือน ยิ่งถ้าใครอยากไปช่วง high season อาจต้องจองล่วงหน้านานถึง 6 เดือนเลยครับ 3. ค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายตลอดทั้งทริปประมาณ 25,000 บาทครับ แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายดังนี้ ค่าแพ็คเกจปีนเขา (ไกด์+ค่าเข้าอุทยาน+ที่พักบนเขา+อาหาร 4 มื้อ) 15,000 บาท ค่าตั๋วแอร์เอเชีย 4,500 บาท ค่าโรงแรมในเมือง 2 คืน 3,000 บาท (ผมเลือกพัก Hilton เลยอาจจะแพงหน่อย) ค่าอาหารมื้ออื่นๆ และค่าของฝาก 2,500 บาท ภาพด้านล่างนี้ เป็นสภาพที่พักบนเขาครับ 4. อุปกรณ์ที่ควรเตรียมไป ไม้ Trekking, ไฟฉายคาดหัว, เสื้อกันฝน, ขวดน้ำ, ยา Diamox (กินก่อนขึ้นเขา 1 วัน ป้องกันการเป็นโรคแพ้ที่สูง หรือ altitude sickness), ครีมกันแดด, Granola หรือ Energy Bar และอุปกรณ์กันหนาว ทั้งเสื้อและถุงมือ คืออุปกรณ์จำเป็นที่ควรเตรียมไปครับ อ้อ แล้วอย่าดื่มน้ำก๊อกตามศาลาข้างทางเป็นอันขาดครับ เพราะเป็นน้ำที่ไม่ได้กรอง แต่ถ้าจำเป็นต้องดื่มน้ำจากก๊อกน้ำข้างทางจริงๆ ก็ควรซื้อเม็ดทำให้น้ำสะอาด (Water purification tablets) เตรียมไปด้วยนะครับ 5. ความยากลำบากของเส้นทาง ถ้านับระยะทางแล้ว คินาบาลูอาจจะไม่ได้เดินเยอะเหมือนเขาลูกอื่นๆ ใช้เวลาเดินขึ้นและลงเพียง 2 วัน กับระยะทางไป-กลับแค่ 18 กิโลเมตรเท่านั้นครับ แต่เอาเข้าจริง ระยะทาง 18 กิโลเมตรกลับเป็นระยะทางที่นรกมากกกกกกครับ เพราะทางส่วนใหญ่มีแต่ชัน ชัน ชัน และชัน แทบไม่มีทางราบเลย แถมยังเป็นกรวด หิน ดิน ทราย ที่ต้องคอยระวังไม่ให้สะดุดล้มอีก โดยวันแรกเราจะต้องเดินราว 6 กิโลเมตร จากนั้นก็ไปพักที่บ้านพักเพื่อปรับสภาพร่างกายให้ชินกับสภาพอากาศ เพื่อที่จะได้ไม่ป่วยเป็นโรค altitude sickness ส่วนวันที่สองคือวันหฤโหดของจริงครับ เพราะเราต้องออกเดินทางตั้งแต่ตี 2 เพื่อพิชิตยอด Kinabalu ให้ได้ก่อนตี 5.30 (ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น) แถมช่วงที่ทางชันมากๆ เราก็ต้องเกาะเชือก เพื่อพยุงตัวเองขึ้นเขาให้ได้ครับ แรงก็ไม่มี กลัวตกก็กลัวตก แถมคนข้างหลังก็จี้ตามหลังมาติดๆ จะกลับตัวก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึง กว่าจะขึ้นถึงยอดได้เรียกว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดครับ โชคยังดีที่ตอนผมไปฟ้าเปิดพอดี ทำให้ได้สัมผัสกับวิวสวยๆ แบบรูปข้างล่างนี้ครับ และหลังจากที่เราขึ้นไปถึงยอดและเสพกับวิวสุดฟินแล้ว นรกขุมที่สองก็ตามมาอย่างช้าๆ ครับ เพราะเราต้องเดินลงเขารวดเดียว คือพูดได้เลยว่าถ้าใครฟิตร่างกายมาไม่พอ (อย่างเช่นผม) จะเกิดอาการล้า ขาหมดแรง ก้าวขาไม่ออกครับ ต้องกระดึ้บๆ ลงอย่างช้าๆ กว่าจะถึงตีนเขา ปาไปเกือบ 6 โมงเย็น (ตอนนั้นแอบคิดในใจว่าขอให้มีเปลพยาบาลมารับได้ไหม เดินต่อไม่ไหวแล้ว) เลยอยากจะแนะนำว่าถ้าใครจะมาเที่ยวที่นี่ ฟิตออกกำลังกายเยอะๆ นะครับ หัดเล่น squat ทุกวัน จะได้ไม่ง่อยเปลี้ยเสียขาแบบผม :) ใครที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ในช่องคอมเมนต์เลยนะครับ ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน