ชิมลา (Shimla) สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ในครั้งนี้ผมขอพาผู้อ่านทุกท่านไปท่องเที่ยวสัมผัสบรรยากาศสุดแสนโรแมนติคท่ามกลางอากาศหนาวและสายหมอกขาวที่ปกคลุมตัวเมืองอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน ครั้งนี้ผู้เขียนได้เดินทางไปกับเพื่อนและน้องที่เรียนด้วยกันที่อินเดียด้วยกันทั้งหมด 7 ท่าน เป็นชาย 3 และหญิง 4 ท่าน การเดินทางจะเป็นยังไง สนุกแค่ไหน ไปติดตามกันเลยครับ การเดินทาง สำหรับท่านที่เดินทางมาจากไทยสามารถนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินเมือง New Delhi จากนั้นนั่งรถบัส หรือ Taxi มายังสถานีรถไฟ Kalka เพื่อนั่งรถไฟสายมรดกโลกไปยังเมือง Shimla ได้เลย รถไฟสาย กาลก้า-ชิมลา (Kalka to Shimla Toy Train ก็คือรถไฟจริงๆ นี่แหล่ะ แต่เพราะต้องวิ่งไต่ขึ้นเขาบนรางที่เล็กมาก จึงถูกเรียกว่า "Toy Train" รถไฟสายนี้ครอบคลุมระยะทาง 96 กิโลเมตร ใช้เวลา 5 ชั่วโมง ผ่าน 102 อุโมงค์, 87 สะพาน, 20 สถานี รถไฟค่อยๆ ไต่เริ่มจากสถานีต้นทาง kalka ที่ความสูง 656 เมตร สู่ เมืองชิมลาที่ความสูง 2076 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ผ่านโค้งทั้งสิ้นกว่า 900 โค้ง โค้งที่หักศอกที่สุดถึง 48 องศา ทางรถไฟสายกาลก้า - ชิมลา ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2551ด้วยระยะทางที่ยาวและเนื่องจากเป็นเส้นทางรถไฟมรดกโลกราคาค่าโดยสารก็อาจจะแพงหน่อย ประมาณ 3,000 รูปี แต่เชื่อเหลือเกินถ้าหากผู้อ่านได้ไปสัมผัสสักครั้งจะพูดกันเป็นคำเดียวว่า คุ้มมาก ชิมลา เป็นเมืองหลวงของรัฐหิมาจัลประเทศอยู่ในอินเดียตอนเหนือ ตั้งอยู่บนสันเขาที่ความสูง 2,100 เมตร ในสมัยอาณานิคม อังกฤษมักจะย้ายรัฐบาลมาอยู่ที่นี่ในช่วงฤดูร้อนเสมอ ตัวเมืองตอนบนจึงยังมีอิทธิพลของอังกฤษแทรกซึมอยู่มาก ทางเหนือติดกับ Mandi และ Kullu และทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ติดกับ Kinnaur ของรัฐUttarakhand ส่วนทางใต้ติดกับ Solan และ Sirmaur เมืองชิมลาตั้งอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 300-2200 เมตร เมืองชิมลาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง 1 ใน 10 ของประเทศอินเดีย ในปี ค.ศ. 1864 เมืองชิมลาได้ถูกประกาศเป็นเมืองหลวงฤดูร้อนของบริติชอินเดีย หลังจากอินเดียได้รับอิสรภาพ เมืองชิมลากลายเป็น เมืองหลวงของปัญจาบ และในภายหลังได้กลายเป็นเมืองหลวงของรัฐหิมาจัล ชิมลาเป็นชื่อที่ได้รับมาจากเทพธิดาเทวี Shyamala ซึ่งเป็นอวตารปางหนึ่งของพระแม่กาลี เมืองชิมลาเป็นเมืองใหญ่ และเจริญเติบโต เป็นที่ตั้งของวิทยาลัยและสถาบันวิจัย เมืองมีพระราชวังและวัดจำนวนมาก ชิมลายังได้รับการบันทึกไว้ว่ามีอาคารลักษณะสถาปัตยกรรมนีโอโกธิคและTudorbethan และ neo-Gothic จากยุคโคโลเนียล สภาพภูมิอากาศชิมลา สภาพภูมิอากาศในชิมลาส่วนใหญ่เย็นในระหว่างฤดูหนาวและอบอุ่นปานกลางในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิปกติตั้งแต่ -4 ° C ถึง 31 ° อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงฤดูร้อนอยู่ระหว่าง 19 ° C และ 28 ° สมัยก่อนหิมะตกเดือนธันวาคม แต่มีเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในช่วงสิบห้าปี ที่เกิดหิมะตกในเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ปริมาณสูงสุดที่ได้รับในครั้งล่าสุดเป็น 38.6 ซม. ในเดือนมกราคม 2013 สถานที่ท่องเที่ยวในชิมลา เดอะมอลล์ เป็นถนนการช้อปปิ้ง เป็นถนนสายหลักของเมืองชิมลา มีทั้งร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ธนาคาร ไปรษณีย์ โรงภายยนตร์ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชม เหนือ Mall Road ที่เรียงรายด้วยร้านอาหาร ร้านขายของ ร้านขายเสื้อผ้าต่างๆ ขึ้นไป เป็นลานโล่งกว้างที่เรียกขานกันว่า The Ridge ศูนย์รวมความศิวิไลซ์ประจำเมืองชิมลา มีทั้ง Christchurch โบสถ์เก่าแก่ที่ถือเป็นแลนมาร์คกลางเมือง มี ห้องสมุด โรงหนัง และโรงละคร ที่มีโปรแกรมน่าสนใจต่างๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ให้ชาวชิมลาได้มาชมความบันเทิงร่วมกันในทุกค่ำคืน ด้วยความที่ The Ridge เป็นลานโล่งกว้าง จึงเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่มองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้ชัดถนัดตา เดินไปอีกนิดก็สามารถช้อปของฝากจำพวกงานคราฟต์ หรือของทำมือต่างๆ ได้ที่ Lakkar Bazaar ที่อยู่ติดกัน ส่วนใครที่ชอบเดินตลาดพื้นบ้านแบบที่ได้ต่อราคาสนทนากับพ่อค้าแม่ขายด้วยตัวเอง ให้มองหาบันไดในตรอกไหนก็ได้จาก Mall Road เดินลงไปยัง Lower Bazaar แค่นี้คุณจะได้พบกับอีกโลกที่แตกต่างจากความหรูหราเงียบสงบเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง ณ ตลาดที่อยู่ต่ำกว่าแห่งนี้เต็มไปด้วยสีสันของอินเดียแบบที่คุ้นเคย ทั้งจำนวนผู้คนที่หนาตา ร้านค้าที่เบียดชิดติดกันทุกคูหา และมีข้าวของให้ช้อปครบทุกประเภท รับรองว่าเดินสนุก เดินเพลินจริงๆ โบสถ์คริสต์บนสันเขาชิมลาแต่ชาวเมืองชิมลาสวนใหญ่เป็นฮินดู แต่คริสตจักรได้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่รู้จักมากที่สุดของเมือง คริสตจักรเป็นคริสตจักรที่สองที่เก่าแก่ที่สุดในภาคเหนือของอินเดีย แต่ก็มีลักษณะที่สง่างามมากและภายในมีหน้าต่างกระจกสีซึ่งเป็นตัวแทนของความเชื่อความหวัง, การกุศล, ความอดทนและความอ่อนน้อมถ่อมตน ยอดเขา Jakhu อยู่ห่างจากชิมลา 2 กิโลเมตร ที่ความสูง 8000 ฟุต ยอดเขา Jakhu เป็นยอดเขาสูงสุดมีมุมมองที่สวยงามของเมืองและของเทือกเขาหิมาลัยที่ปกคลุมด้วยหิมะ ที่ด้านบนของเนินเขาที่เป็นวัดเก่าแก่ของหนุมานซึ่งจะมีลิงขี้เล่นนับไม่ถ้วนรอนักท่องเที่ยว รูปปั้นของหนุมานสูง 33 เมตร สูงเหนือระดับน้ำทะเล 2,591 เมตร เป็นรูปปั้นเดียวที่ยืนอยู่ที่ระดับความสูงที่สูงที่สุดในหมู่รูปปั้นหลายชิ้นหลักอื่น ๆ ในโลกแซง รูปปั้นพระเยซู ที่ ริโอเดอจาเนโร บราซิล ทำไมต้องสร้างรูปปั้นหนุมานไว้ที่นี่ ก็ต้องท้าวความไปสู่ตำนานบทหนึ่งในรามายณะ หรือรามเกียรติ์ที่คนไทยคุ้นเคยกันดีในตอนที่พระลักษม์ถูกหอกโมกขศักดิ์ของกุมภกรรณ หนุมานจึงต้องเหาะไปตามหาต้นสังกรณีตรีชวาเพื่อนำมาทำยารักษาพระลักษม์ และด้วยความที่เป็นพืชสมุนไพรหายาก หนทางก็ไกล หนุมานจึงแวะหยุดพักบนยอดเขา Jakhoo แห่งนี้ เพื่อชะเง้อแลเล็งหาภูเขาลูกที่มีความน่าจะเป็นว่าจะมีสมุนไพรต้นนี้อยู่ ก่อนจะเหาะต่อไปแล้วหอบภูเขาที่หมายตาเอาไว้ขึ้นมาทั้งลูกกลับไปรักษาพระลักษม์ จึงเป็นอีกหนึ่งที่มาของรูปปั้นหนุมานเหาะ โดยแบกภูเขา 1 ลูกไว้ในมือนั่นเอง การได้มาเยือนเมืองสุดโรแมนติคแห่งนี้ผู้เขียนรู้สึกประทับใมาก เนื่องจากไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อนเลย รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ อากาศดีมาก อีกทั้งได้นั่งรถไฟสายประวัติศตร์ที่เป็นมรดกโลก ชมอาคารสวยๆ อาหารก็อร่อยถูกปาก ผู้เขียนหวังว่า หากท่านผู้อ่านได้มาในเมืองแห่งนี้ จะรู้สึกประทับใจดั่งที่ผู้เขียนได้รับ เครดิตภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน Pramet Klangmuenwai