ทริปเที่ยวสุโขทัยนั้นเป็นทริปที่เกิดจากเราชื่นชอบละครเรื่อง “ขุนเดช” มาก ๆ เรียกว่าประทับใจจนคลั่งไคล้เลยแหละ เราเลยคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องมาเที่ยวที่นี่เพื่อตามรอยละครให้ได้ และสุดท้ายก็ได้มาสักที (ละครจบไปเมื่อปี 2555 แต่เพิ่งมาเที่ยวปี พ.ศ.2561 และเพิ่งมารีวิวในปีนี้ 5555) ซึ่งละคร “ขุนเดช” นั้นเป็นเรื่องราวที่ “สุจิตต์ วงษ์เทศ” ผู้ประพันธ์ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “จิระเดช ไวยโกสิทธิ์” ชายผู้พิทักษ์โบราณวัตถุ-โบราณสถานและมีคุณูปการแก่วงการประวัติศาสตร์-โบราณคดี จนนำเรื่องราวของท่านมาปั้นแต่งร้อยเรียงกลายเป็นตัวละครในวรรณกรรม, ละครโทรทัศน์ และละครเวที เกริ่นไปเยอะแล้ว เราไปเที่ยวพร้อม ๆ กันดีกว่าจ้า!วันแรก ระหว่างที่จะเดินทางไปยังจังหวัดสุโขทัย เราก็แวะชมนกที่ “สวนนกชัยนาท” ที่จังหวัดชัยนาทกันก่อน ซึ่งสวนนกชัยนาทเป็นแหล่งเรียนรู้และจัดแสดงพันธุ์นกนานาชนิดที่สำคัญในจังหวัดชัยนาท โดยภายในสวนนกแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตมาก ที่สำคัญยังมีกรงนกขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียที่จำลองบรรยากาศใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด แต่เพราะมีเวลาไม่มากนัก เราจึงเดินชมนกแค่บริเวณรอบ ๆ สวนหย่อมเท่านั้นค่ะ หลังจากชมนกที่สวนนกชัยนาทเสร็จแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยังจังหวัดสุโขทัย เพื่อเช็กอินโรงแรมที่พักก่อนไปกินอาหารเย็นบริเวณใกล้โรงแรมที่พักและรีบกลับมาอาบน้ำนอน เพราะพรุ่งนี้เช้าจะได้ไปทำบุญตักบาตรบนสะพานบุญของวัดตระพังทองค่ะวันที่ 2 รุ่งเช้า เราตื่นตี 5 เพื่อรีบมาทำบุญตักบาตรให้ทันช่วง 6 โมงเช้าบนสะพานบุญของวัดตระพังทอง เพื่อเสริมสร้างสิริมงคลให้กับชีวิตค่ะ สะพานบุญแห่งนี้เป็นสะพานไม้ที่ทอดยาวข้ามผืนน้ำของตระพัง (สระน้ำขนาดใหญ่) ไปยังเกาะกลางของวัดตระพังทอง ซึ่งจะมีกิจกรรมทำบุญตักบาตรตลอดแนวสะพานแห่งนี้ในทุก ๆ เช้า สำหรับใครที่ต้องการทำบุญตักบาตร แนะนำว่าให้ไปถึงบริเวณสะพานประมาณ 6 โมงเช้าค่ะ หลังจากทำบุญตักบาตรเสร็จแล้วก็เที่ยวชม “วัดศรีชุม” กันต่อ ซึ่งวัดศรีชุมเป็นวัดไทยสุด Unseen ของจังหวัดสุโขทัยที่ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะมี “พระพุทธอวจนะ” หรือ “พระพุทธรูปพูดได้” พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่ตั้งประดิษฐานอยู่ภายในมณฑป โดยบริเวณด้านหลังพระพุทธอวจนะจะมีอุโมงค์ลับให้ขึ้นไป ตามตำนานมีเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้กุศโลบายให้คนขึ้นไปพูดด้านหลังพระพุทธรูปเพื่อปลุกขวัญกำลังใจให้แก่ทหารก่อนไปออกรบค่ะ ชมวัดศรีชุมกันแล้ว เราก็เข้าไปด้านใน “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย” กันค่ะ ซึ่งวันที่เราไปเที่ยวชมตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของรัชกาลที่ ๑๐ เราจึงได้เข้าชมฟรี ด้วยความที่ภายในอุทยานฯ มีพื้นที่กว้างขวางมาก เราเลยนั่งรถรางเข้าเที่ยวชม โดยรถรางมีจุดจอดรถทั้งหมด 10 จุดด้วยกัน แต่สามารถขึ้นลงตามจุดที่กำหนดเท่านั้นได้จนถึงปลายทาง ตอนเช้าเรานั่งรถรางเพื่อชมบรรยากาศและสถานที่สำคัญ ๆ ภายในอุทยานฯ สักรอบหนึ่ง เช่น พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช, วัดชนะสงคราม และวัดมหาธาตุ เป็นต้น ด้วยความที่ช่วงเช้ามีเวลาน้อยจึงเข้าชมสถานที่สำคัญภายในอุทยานฯ เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น เนื่องจากต้องแวะไปกินอาหารเช้าที่ร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยเจ๊แฮ และมุ่งหน้าเดินทางต่อไปยัง “อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย” ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำละคร “ขุนเดช” อีกแห่งหนึ่งค่ะ เสียดายที่ในวันที่เราไป คนไปเที่ยวค่อนข้างเยอะพอสมควร ทำให้ชมได้แค่เฉพาะวัดช้างล้อม, วัดเจดีย์เจ็ดแถว และวัดนางพญาเท่านั้น ส่วนวัดแห่งอื่น ๆ ไม่ได้ไปเที่ยวชม โดยเฉพาะวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง แต่หากมีโอกาสจะไปเที่ยวอีกแน่นอนค่ะ หลังจากเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยแล้ว เราก็เดินออกมานั่งรถเพื่อไปกินอาหารกลางวันที่ร้านโกเฮง ซึ่งจริง ๆ แล้วเราสั่งอาหารมาหลายอย่าง แต่ว่าถ่ายรูปมาแค่เมนูเดียวค่ะ 5555 พอกินอาหารกลางวันเสร็จ ตอนบ่ายเราก็แวะไปเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยอีกรอบ แต่คราวนี้เราขี่จักรยานชมวิวและเที่ยวชมสถานที่สำคัญภายในอุทยานต่อจากช่วงเช้า ซึ่งบรรยากาศภายในอุทยานฯ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ที่สำคัญที่นี่ไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวเข้ามาภายในอุทยานฯ ทำให้ขี่รถจักรยานได้อย่างชิลล์ ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องกลัวรถชนเลยค่ะ จริง ๆ เราขี่จักรยานเที่ยวชมและถ่ายรูปสถานที่ต่าง ๆ ภายในอุทยานฯ หลายแห่งเหมือนกัน แต่ก็จำไม่ค่อยได้ว่ามีสถานที่ไหนกันบ้าง เนื่องจากไปเที่ยวในช่วงปี พ.ศ.2561 อีกอย่างแต่ละสถานที่ก็มีความคล้ายกัน อาจทำให้บอกสถานที่ไม่ค่อยชัดเจนนัก 😅😅😅 ซึ่งเราขี่จักรยานชมวิวไปเรื่อย ๆ และแวะเที่ยวชม “วัดตระพังเงิน” กับ “วัดศรีสวาย” ค่ะ หลังจากขี่จักรยานเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยจนเหนื่อยแล้วก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี เราจึงนั่งรถไปกินอาหารเย็นใกล้กับที่พัก และกลับมาอาบน้ำนอน เนื่องจากพรุ่งนี้เช้าต้องเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ ค่ะวันที่ 3 รุ่งเช้าหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เราเช็กเอาท์ออกจากที่พักเพื่อกลับกรุงเทพฯ แต่ระหว่างทางกลับได้ผ่าน “อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร” พอดี เราจึงแวะเที่ยวชมอีกสักหน่อยค่ะ ไหน ๆ ก็มาถึงแล้วอ่ะเนอะ ^^ “อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร” ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิงและแบ่งเขตพื้นที่อุทยานออกเป็น 2 เขตด้วยกันคือ “เขตภายในกำแพงเมือง” กับ “เขตนอกกำแพงเมือง / เขตอรัญญิก” ซึ่งเขตภายในกำแพงเมืองมีโบราณสถานสำคัญได้แก่ วัดพระแก้ว, วัดพระธาตุ, เขตวังโบราณ (สระมน), ศาลพระอิศวร, กำแพงเมือง, คูเมือง และป้อมปราการต่าง ๆ ส่วนเขตนอกกำแพงเมือง / เขตอรัญญิกมีโบราณสถานสำคัญอย่างวัดพระนอน, วัดพระสี่อิริยาบถ และวัดช้างรอบ โดยอุทยานฯ แห่งนี้ มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นอย่างการใช้ศิลาแลงในการก่อสร้าง, รูปแบบศิลปกรรมเป็นของแท้ดั้งเดิม และการคงไว้ซึ่งบรรยากาศพุทธศาสนสถานเหมือนในอดีต ทำให้องค์การ UNESCO ประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2534 เช่นเดียวกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยและอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัยนั่นเอง แต่ด้วยความที่เรามีเวลาน้อยจึงเข้าชมเฉพาะโบราณสำคัญบริเวณเขตภายในกำแพงเมืองแค่วัดพระแก้วกับวัดพระธาตุเท่านั้นค่ะ พอเที่ยวชมอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรแล้วก็นั่งรถกลับกรุงเทพฯ แต่ระหว่างทางก็แวะกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารในปั๊มน้ำมัน จากนั้นก็เดินทางโดยสวัสดิภาพค่ะ สำหรับใครที่ชอบเที่ยวชมโบราณสถานเก่าแก่ล่ะก็...แนะนำให้มาเที่ยวชมเมืองมรดกโลกอย่างอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย, อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร และหากมีเวลาสักหน่อยควรมาเที่ยวชมทุกที่จริง ๆ ค่ะ พิกัด: สวนนกชัยนาท, วัดศรีชุม, อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย, ร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยเจ๊แฮ, อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย, ร้านโกเฮง, อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชรออกแบบหน้าปกใน Canva โดย: Windy_55 (ผู้เขียน)เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน)🗺 แชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”