ความจริงจะอยู่คู่ตำนาน ตราบใดที่มีโยนีและศิวลึงค์อยู่คู่กันตราบนั้นโลกจะอยู่อย่างเป็นสุข ครั้งนี้เป็นการเที่ยวควบคู่ไปกับการศึกษาเรียนรู้ เพราะสถานที่จะกล่าวถึงนี้ เป็นสถานที่ที่เก่าแก่เชื่อว่า นครวัดสร้างขึ้นโดยการนำดินและแผ่นหินจากที่นี่ไป เขาพนมกุเลน แปลความหมายภาษาไทย แปลว่า ภูเขาลิ้นจี่ สถานที่แห่งนี้ สร้างขึ้นตั้งแต่ ศตวรรษที่ 11 ในรัชกาลของพระเจ้าอยู่หัว สุริยวรมันที่ 1 และได้สถาปนาแล้วเสร็จเรียบร้อยในรัชกาล ของพระมหากษัตริย์อุทัยวรมันที่ 2 ในศตวรรษที่ 13 เมื่อเราเดินขึ้นไปบนภูเขา จะพบซากแผ่นหินโบราณกระจัดกระจาย ซึ่งมีความเชื่อว่า เคยเป็นสถานที่ประทับของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ก่อนที่ท่านนั้นจะย้ายไปที่หริหราลัย เพราะเหตุภูเขาแห่งนี้ไม่ค่อยสะดวกในเรื่องของการเดินทาง และที่สำคัญคือไม่เหมาะสมที่จะสร้างเป็นเมือง ถ้าเราเดินทางออกจากจังหวัดเสียมราฐ หรือเสียมเรียบนั้นจะมีระยะทางห่างกันประมาน 60 กิโลเมตร ถือว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางนั้นสูงมาก แต่เป็นความโชคดีที่ได้ไปเพราะ มีโอกาสได้เดินทางดับปรมาจารย์ที่รู้ลึกรู้จริงเกี่ยวกับสถานที่ ท่านเคยเดินทางไปแล้วแต่นานแสนนาน เลยต้องการไปอีกสักครั้ง แผนที่บริเวณเขา แต่กลุ่มของเรานั้นไม่ต้องใช้ เพราะคณะที่ไปเที่ยวทั้งหมดเป็นชาวกัมพูชา มีคนต่างชาติเพียงสองคนถ้วนจึงใช้วิธีการสงบปาก เดินขึ้นไปผ่านเจ้าหน้าที่แบบเงียบๆ นักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเดินทางไปที่นี่ ถ้าจะให้ดีคือซื้อทัวร์กลุ่มเลย เพราะการเดินทางถ้าไปจำนวนน้อย จะไม่ค่อยคุ้มค่ากับการเดินทาง ค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งสำหรับคนต่างชาตินั้นไม่ได้มีการตรวจใจการเข้าสถานที่แห่งนี้ การเดินขึ้นเขาต้องใช้การเดินเท้า ซึ่งไม่ได้สูงแต่ไม่ค่อยชัน ระยะทางไปกลับน่าจะประมาณสามกิโล ถ้าจะไปแนะนำอาจจะต้องเตรียมร่างกายบ้าง เพื่อใช้แรงในการเดินป่า จุดสำคัญที่จะไปดูคือสูงสุดต้นของแม่น้ำได้ยินอย่างนั้น ฟังดูน่าตื่นเต้นแต่พอมองดูเส้นทาง … หนทางแสนยาวไกล ป่ายปีนก้อนหิน ในขณะที่เดินขึ้นพยายามมองด้านหลัง และบอกตัวเองในใจว่าไปต่อหรือพอแค่นี้ เพราะเดินเข้าไปในป่าลึกแบบไม่น่าจะเจออะไร ถามได้ความว่าจะพาไปดูของดีเดินขึ้นเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ นั่งพักแล้วพักอีกก็ยังไม่ถึง บางทีต้องปีนขึ้น บางที่ต้องตะแคงตัว ก้มหน้าก้มตาเดินพูดมากเดี๋ยวแรงหมด ระยะทาง การเดินผ่านจะมีหลากหลายแบบ เหมือนทางไปหาเห็ดที่บ้าน ต้องยกขาข้ามกิ่งไม้ ปีนก้อนหิน ซึ่งวันนั้นเส้นทางขึ้นต้องระวังมากหน่อย เพราะฝนเพิ่งจะตกได้ไม่นาน ทำให้กินอาจจะลื่นเล็กน้อย ระหว่างทางพยายามถามคนนำทางว่าจะถึงหรือยัง ก็ได้คำตอบว่าอีกนิดเดียว ถามแล้วครั้งที่สี่ก็ยังว่าใกล้จะถึงแล้ว ศิวลึงค์ใต้น้ำ และฐานโยนีนับพัน “นี่คือของดีที่บอกว่าจะพามาดู” ตอนที่เรามานั้นน้ำน้อยจนบางที่แทบจะแห้งขอด ทำให้มองเห็นอย่างชัดเจน ถ้าหากว่ามาหน้าน้ำหรือน้ำเยอะกว่านี้ คงจะไม่ได้เห็นแบบนี้ ถือเป็นโชคดีของเรา ในบริเวณทางน้ำมองไปทางไหนเราก็จะเห็นโยนีและศิวลึงค์ นอกจากจะเรียงกันจำนวนมากแล้ว ยังมีขนาดเท่ากันด้วย สำคัญสุดคือแม่เวลาจะผ่านมานานหลายปี แต่สภาพนั้นยังคงเดิม ทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงมีศิวลึงค์และโยนีนับพัน ซึ่งได้มีการเล่าว่าสองสิ่งนี้จะอยู่นิรันดร์ นั่นคือในความเชื่อของศาสนาฮินดู ศิวลึงค์ตัวแทนของเพศชายคือพระศิวะ ส่วนฐานโยนีที่เป็นสี่เหลี่ยมนั้นแสดงสัญลักษณ์แทนเพศหญิงคือพระแม่อุมาเทวีพระชายาของพระศิวะ ซึ่งในทางศาสนาฮินดูนั้นมีความเชื่อว่า ตราบใดที่โลกนี้ยังมีสองสิ่งนี้อยู่รวมกัน มันคือการสร้างสรรพสิ่งให้เกิดขึ้น และทำให้โลกนี้ร่มเย็นและสงบสุข ภาพนี้เป็นศิวลึงค์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาศิวลึงค์ทั้งหมด ล้อมรอบไปด้วยฐานของโยนีจำนวนมาก แม่น้ำนี้ถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่แต่ก่อนนั้นเชื่อกันว่า น้ำที่ไหลออกจากที่นี่เป็นน้ำมนต์ ประชาชนจะพากันไปอาบอยู่ทางด้านหลัง และรอรับน้ำนี้อาบกัน ถ้าเราไปในช่วงน้ำแห้งจะเห็นรูปภาพแกะสลักบริเวณก้อนหิน เป็นเรื่องราว นารายณ์บรรทมสิน ยังเห็นลวดลายอย่างชัดเจน อยู่ตรงบริเวณก้อนหินรอบแม่น้ำ ซึ่งโผล่จากน้ำช่วงน้ำแห้ง หินแกะสลักเล่าเรื่องราว การแกะสลักนั้นจะเป็นการแกะสลักกั้นทางน้ำทีละครึ่ง ขณะที่เราเดินลงมาตามสายน้ำ ซึ่งจุดหมายของเราคือน้ำตก ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่ที่ประชาชนรอคอยน้ำศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคล และแล้วเราก็เดินลงมาถึงน้ำตกซึ่งตรงนี้เป็นสถานที่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ไหลมารวมกัน ชาวบ้านจะรอรองน้ำเหล่านี้ไปดื่มกินในอดีต แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ตรงนี้เราสามรถเล่นน้ำตกได้ ซึ่งเป็นบริเวณกว้าง น้ำลาดลงมาเป็นลานน้ำขนาดใหญ่ ดีหน่อยตอนที่ไปนั้นมีเพียงกลุ่มพวกเราเท่านั้น เล่นได้แบบสะใจ อาบน้ำศักดิ์สิทธิ์สักครั้งได้มาถึงที่แล้ว ในสมัยโบราณ ผู้คนน่าจะเก่งในเรื่องขิงศืลปะการแกะสลัก เพราะมองไปตามแนวหิน หรือแม้แต่ขอบหินตรงน้ำตก ก็ยังมีการแกะเป็นเรื่องราว ซึ่งการแกะสลักหินนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย บางก้อนแกะเสร็จบางก้อนเพิ่งจะเริ่มแกะ ทำให้เก็นนิสัยคนสมัยก่อนคงขยันและรักในศิลปะ การเดินทางในการตามล่าหาศิวลึงค์และโยนรนั้นสำเร็จ แม้ว่าหนทางจะยากลำบากต้องปีนขึ้น เดินพักแล้วพักอีก แต่เมื่อได้เห็นประจักษ์กับสายตาตัวเองสักครั้งในชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะถ้าหากเรามาเที่ยวเองหรือมากับทัวร์ คงยากที่จะได้มาสถานที่แห่งนี้ เพราะต้องใช้เวลาในการเดินทาง และเวลาเดินป่าแค่สถานที่เดียวก็หมดไปครึ่งวันแล้ว เรียกได้ว่าหายเหนื่อยเมื่อได้เล่นนำ้ หลังจากที่เล่นน้ำเสร็จเดินกลับลงมาทานข้าว เสื้อผ้าที่เปียกแห้งพอดี รักในการเดินทาง รักในการเรียนรู้ เชื่อตามที่โบราณกล่าวมา ที่สำคัญเวลาที่เราไปเดินในสถานที่ท่องเที่ยว สิ่งที่ต้องพึงคิดอยู่ตลอดเวลาคือ เราไม่ควรไปสร้างขยะให้กับธรรมชาติ รับผิดชอบในขยะของตนเอง เพราะไม่อย่างนั้นความสวยงามของธรรมชาติจะถูกทำลายความสวยงามไป การเรียนรู้และสัมผัสสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งถ้ามีอายุยาวนานชั่วอายุคนถือเป็นกำไรชีวิตที่ยิ่งใหญ่ จงคว้าไว้ถ้าหากโอกาสมาถึงเหมือนในครั้งนี้ การเดินขึ้นเขาต้องใช้กำลังกาย และกำลังใจ ถ้าใจสู้อย่างไรแล้วเราต้องทำได้ ภาพถ่ายทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียนเอง (อุ้งเท้าแมว)ห้องส่องร้านดังมาแรง รวมของกินอร่อยต้องโดน บอกสูตรเมนูลับที่ไม่ลับอีกต่อไป