สวัสดีนักเดินทางทุกคน! วันนี้เราจะพาไปเปิดประสบการณ์ เที่ยวสังขละบุรี เมืองเล็กๆ ใน จังหวัดกาญจนบุรี ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทาง วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติอันงดงาม ที่นี่ไม่ได้มีแค่ สะพานมอญ แลนด์มาร์กชื่อดัง แต่ยังมีสถานที่ Unseen ที่ซ่อนเสน่ห์แบบดั้งเดิม ที่จะทำให้คุณหลงรักและอยากกลับมาเยือนสังขละบุรีซ้ำแล้วซ้ำเล่า DAY 1 เราเริ่มทริปกันที่ ไฮไลท์ของสังขละบุรีที่พลาดไม่ได้เลย คงต้องยกให้ สะพานมอญ หรือ สะพานไม้อุตตมานุสรณ์ ซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ทอดข้ามลำน้ำซองกาเลีย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเยือนคือ 05.30 - 07.00 น. เพราะจะได้ชมทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามสุดประทับใจ บรรยากาศยามเช้าอบอวลไปด้วย หมอกจาง ๆ และเสียงสวดมนต์ของชาวมอญ คุณจะได้สัมผัสวิถีชีวิตของชุมชนชาวมอญที่ยังคงอนุรักษ์เอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น ถ้ามาแต่เช้า อย่าพลาดการตักบาตรพระสงฆ์กับชาวบ้านที่แต่งชุดมอญแบบดั้งเดิมพร้อมเก็บภาพความประทับใจที่หาชมได้ที่นี่ที่เดียวในสังขละบุรี! ถ้าคุณมาเที่ยวสังขละบุรี แล้วเดินผ่านสะพานมอญ คุณจะต้องสะดุดตากับภาพของ เด็กปะแป้งและเทินหม้อ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของชุมชนมอญในไทย เด็กๆ จะทาแป้งทานาคาตามภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิม พร้อมแสดงความสามารถพิเศษในการเทินหม้อดินบนศีรษะอย่างคล่องแคล่ว กิจกรรมนี้ไม่เพียงดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยความน่ารักแต่ยังสะท้อนวัฒนธรรมมอญแท้ที่สืบทอดมายาวนาน เป็นประสบการณ์ทางวัฒนธรรมที่หาชมได้ยากในประเทศไทย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวมอญที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ไว้อย่างเหนียวแน่น มาที่สังขละบุรีทั้งที ต้องไม่พลาดสัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ด้วยการตักบาตรยามเช้าที่สะพานมอญ ประสบการณ์สุด exclusive ที่คุณจะได้ใส่บาตรพระสงฆ์ชาวมอญ แนะนำให้มาถึงประมาณ 06.00 น. เพื่อชมบรรยากาศที่สวยที่สุด อย่าลืมแต่งกายสุภาพและเตรียมอาหารใส่บาตร โดยสามารถหาซื้อชุดอาหารใส่บาตรได้จากแม่ค้าในตลาดเช้าราคาเริ่มต้นที่ชุดละ 50 บาท หากอยากดื่มด่ำกับบรรยากาศแบบดั้งเดิม แนะนำให้เช่าชุดมอญมาใส่ เพิ่มความสวยงามและเข้ากับวิถีชีวิตท้องถิ่นได้อย่างลงตัว ในช่วงบ่ายของการเที่ยวสังขละบุรี ควรเดินทางไปไหว้พระทำบุญที่วัดวังก์วิเวการาม หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ วัดสำคัญของสังขละบุรีที่มีเจดีย์พุทธคยาจำลอง สีทองอร่าม ตั้งตระหง่านบนเนินเขา ที่วัดหลวงพ่ออุตตมะคุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตและศรัทธาของชาวมอญอย่างลึกซึ้ง เจดีย์พุทธคยาจำลอง เป็นสัญลักษณ์ของศรัทธาและแรงบันดาลใจจากเจดีย์พุทธคยาของอินเดีย ที่ตั้งตระหง่านอยู่ภายในวัดวังก์วิเวการาม หรือที่รู้จักกันในชื่อ วัดหลวงพ่ออุตตมะ กลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของสังขละบุรี ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือนตลอดปี ไม่เพียงแค่ความงามของสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น แต่ยังมีกิจกรรมโยนเหรียญขึ้นบนเจดีย์เพื่อเสริมสิริมงคลและสะเดาะเคราะห์ ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนวัดหลวงพ่ออุตตมะ หลังจากเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ในสังขละบุรีแล้ว อย่าลืมแวะไปสัมผัสถนนคนเดินสังขละบุรี ซึ่งเป็นตลาดกลางคืนที่เต็มไปด้วยของกินอร่อย ๆ และหลากหลายเมนูพื้นถิ่น ที่นี่คุณจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของคนไทยเชื้อสาย มอญ, กะเหรี่ยง, พม่า, ลาว, และ มุสลิม รวมทั้งมีการจัดแสดงโชว์ที่สะท้อนถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกาญจนบุรีที่ทำให้การเที่ยวครั้งนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนานและประสบการณ์ใหม่ ๆ ถ้าคุณได้ไปเที่ยวถนนคนเดินสังขละบุรีในกาญจนบุรี อย่าลืมลองชิม ขนมทองโยะ ขนมโบราณของชาวมอญที่หาทานได้ยาก ขนมทองโยะทำจากแป้งข้าวเหนียว, น้ำกะทิ, และ น้ำตาล นำไปนึ่งจนได้เนื้อสัมผัสหนึบหนับ หอมมัน หวานกำลังดี ในอดีตขนมนี้จะห่อด้วยใบตอง แต่ในปัจจุบันมีการดัดแปลงด้วยการสอดไส้แยมเพื่อให้ทันสมัยและทานง่ายขึ้นเหมาะสำหรับทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เมี่ยงคำสังขละบุรี เป็นหนึ่งในของเด็ดที่คุณไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนถนนคนเดินสังขละบุรี เมี่ยงคำสูตรชาวมอญที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดดเด่นด้วยใบชะพลูสดห่อเครื่องเคราครบสูตร เช่น มะพร้าวคั่ว, ขิง, หอมแดง, ถั่วลิสง, พริก, และ น้ำเมี่ยงสูตรโบราณ ที่หอมหวานเข้มข้นไฮไลท์ของเมี่ยงคำที่นี่คือเครื่องปรุงท้องถิ่น ที่หาทานได้เฉพาะในสังขละบุรี ทำให้เมี่ยงคำที่นี่มีรสชาติที่แตกต่างจากเมี่ยงคำทั่วไป ไม่เพียงแต่อร่อยแต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชาวมอญอย่างแท้จริง DAY 2 เริ่มต้นวันที่สอง แนะนำไปลงเรือชมวัดใต้น้ำ หรือ เมืองบาดาล หนึ่งในจุดชมวิวสุด unseen ที่ยังไม่ค่อยมีคนรู้จัก ซึ่งเป็นวัดเก่าที่จมอยู่ใต้น้ำจากการสร้างเขื่อน มีเรื่องเล่าสุดพิศวง โบสถ์และเจดีย์ที่จมอยู่ใต้น้ำมานานกว่า 20 ปี มีตำนานเล่าขานว่าในคืนเดือนหงาย จะได้ยินเสียงระฆังดังมาจากใต้น้ำ จุดเด็ดอยู่ที่ช่วงหน้าแล้งน้ำจะลดจนเห็นตัววัดชัดเจน สามารถลงไปเดินซากโบสถ์เก่าแก่ที่จมอยู่ใต้น้ำได้ แต่ถ้าคุณมาในช่วงน้ำเยอะก็ยังสามารถเช่าเรือไปชมความงามของวัดกลางน้ำแทน เมื่อคุณเช่าเรือในราคา 500 บาทเพื่อเที่ยวชมวัดโบราณ คนขับเรือจะพาคุณไปยัง วัดสมเด็จ(เก่า) อีกด้วย ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกทิ้งร้างมานานกว่า 50 ปี เมื่อเดินทางถึงท่าเรือวัดสมเด็จเก่าจะต้องเดินขึ้นบันไดไปอีกเล็กน้อยก็จะถึงตัววัด สิ่งที่น่าสนใจของวัดสมเด็จเก่าคือ อุโบสถเก่าแก่ ที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ แม้ว่ากาลเวลาจะผันผ่านไปนานหลายปี ผนังอุโบสถมีต้นไทรขนาดใหญ่ปกคลุมดูสวยงามและมีมนต์ขลัง ภายในอุโบสถมีพระประธานให้สักการะเป็นวัดที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการดื่มด่ำประวัติศาสตร์ เพราะมีมัคคุเทศก์น้อยคอยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของวัดให้นักท่องเที่ยวฟัง เป็นภาพที่น่ารักและประทับใจ ก่อนกลับกรุงเทพฯ อย่าลืมแวะด่านเจดีย์สามองค์ จุดชมวิวสุดปังบนถนนมิตรภาพไทย-พม่า ที่ไม่เพียงเป็นจุดผ่านแดนธรรมดา แต่ยังเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของการเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศ ด่านเจดีย์สามองค์มีเจดีย์สีขาวสามองค์เรียงรายอย่างสวยงาม เป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพไทย-พม่าที่โดดเด่น นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการถ่ายภาพ โดยเฉพาะกับป้ายด่านเจดีย์สามองค์ที่เป็นสัญลักษณ์โดดเด่น อีกทั้งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นี่เคยเป็นเส้นทางรถไฟสายประวัติศาสตร์มรณะที่เชื่อมต่อไทย-พม่า และปัจจุบันยังสามารถเห็นร่องรอยประวัติศาสตร์ ได้ที่นี่ เครดิตภาพ : ภาพโดยผู้เขียน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !