เมืองสามหมอก...ใครก็บอกว่าดี เคยได้ยินคำว่า 'เมืองสามหมอก' ไหมคะ จังหวัดพันโค้งที่ใคร ๆ ก็รู้ว่าคือ แม่ฮ่องสอน เราได้มีโอกาสไปเที่ยวที่นี่ แบบนักท่องเที่ยวที่แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่ฮ่องสอนเลย ก็ไปแบบงง ๆ แต่กลับมาพร้อมความประทับใจนะจ๊ะ เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนการเดินทางประมาณ 1 เดือน (ถึงหรือเปล่า ไม่แน่ใจ) มีเพื่อนมาเล่าว่ากำลังจะโดนเททริปแม่ฮ่องสอน แล้วนี่ก็ลั่น บอกเพื่อนไปว่า 'ชวนเราไหม...' เท่านั้นละ คำเดียวชีวิตเปลี่ยน 555 คือเดือนที่เพื่อนจะไป เราตั้งใจว่าจะไม่ไปไหนจะเก็บเงิน แต่สุดท้ายก็อย่างที่บอก ลั่นไปแล้วทำไง ก็ต้องไปสิคะ เพราะเพื่อนก็ชวนเราจริง เราก็ไปจริงจ้า เราเดินทางโดยรถทัวร์ของสมบัติทัวร์ (มีเจ้าเดียวที่เดินรถกทม.-แม่ฮ่องสอน) ออกจากกรุงเทพฯ ตอนเย็นไปถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนตอนเช้าอีกวัน จากนั้นต้องไปต่อรถตู้ของเปรมประชาทรานสปอร์ตเพื่อเดินทางต่อไปยัง ' บ้านจ่าโบ่ ' การเดินทางในแม่ฮ่องสอนวันแรกคือวันที่เราฉายเดี่ยวไปเที่ยวบ้านจ่าโบ่ค่ะ แล้วค่อยไปเจอเพื่อนที่ปายตอนเย็นตามที่นัดกันไว้ เริ่มต้นการออกเดินทางเย็นวันศุกร์หลังเลิกงาน พอรถออกจากกรุงเทพฯ เราก็หลับยาวตลอดการเดินทางเลยค่ะ รู้สึกตัวกลางดึกเหมือนกันว่ารถกำลังขึ้นเขา ช่วงนั้นก็หลับ ๆ ตื่น ๆ พอเช้าตื่นมาอีกทีก็พบกับแสงแรกและวิวภูเขาที่แบบอลังการมากค่ะ ตื่นมาตอนรถกำลังขับขึ้นทางโค้งของภูเขาแล้วภาพตรงหน้าคือดวงอาทิตย์กำลังเผยโฉมออกมาจากภูเขาลูกถัดไป อือหือO_O สวยมาก แต่หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายไม่ทันเพราะเพิ่งตื่น 555 จากนั้นก็นั่งรถชมวิวทิวเขา พร้อมเอียงตัวซ้ายทีขวาทีกับเเรงเหวี่ยงของการเข้าโค้งไปมาตลอดเส้นทาง มาแม่ฮ่องสอนนี่แทบจะไม่รู้จักเลยว่าทางตรงเป็นยังไง คนที่นี่ถ้าไปขับรถที่กทม.คงไม่ชินเพราะไม่ได้เข้าโค้ง ไม่ได้ขึ้นเขา แล้วเราก็ต้องนั่งรถผ่านเขาลูกแล้วลูกเล่า ผ่านโค้งซ้ายขวา เอียงตัวไปมาอยู่อย่างนี้ไปจนถึงตัวเมือง เราไม่เมารถ ไม่เมาโค้ง แต่ตลอดทางแค่สงสัยว่า จังหวัดนี้เขามีแต่เขาหรือยังไง เป็นเมืองในหุบเขาหรอ เส้นทางสัญจรเกือบทุกเส้นระหว่างอำเภอเป็นทางที่ต้องผ่านภูเขาหมดเลย เพราะก่อนที่เราจะมาเราไม่เคยรู้เลยว่าภูมิประเทศของแม่ฮ่องสอนเป็นยังไง เราจินตนาการว่าก็คงเหมือนเชียงใหม่ มีแค่ช่วงที่จะไปปายที่จะต้องผ่านโค้งเยอะ ๆ อะไรแบบนี้ พอมาเจอด้วยตัวเองก็เข้าใจแล้วว่า จังหวัดพันโค้ง หลายพันโค้งเลยแหละ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เรามาถึงสถานีขนส่งในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน พอลงรถทัวร์ก็มีทั้งรถสองแถวคันเล็ก ๆ และรถตู้จอดรออยู่ เหมือนตั้งใจมาจอดรอเราเลย555 แต่เราหยิ่งยังไม่ขึ้น ขอไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันให้สบายใจก่อน พอออกมาจากห้องน้ำปุ๊ป อ้าว! รถที่จอดอยู่เยอะ ๆ เมื่อกี้ หายไปหมดเลยง่ะ เหลือแค่สถานีขนส่งโล่ง ๆ กับคนที่นั่งรอรถอยู่ไม่กี่คน 0_0!! สถานีขนส่งที่นี่ก็เล็ก ๆ ผู้คนไม่พลุกพล่าน ไม่คึกคักเท่าไหร่ เราเดินไปหาเคาน์เตอร์ซื้อตั๋วโดยสารรถตู้ของเปรมประชา รถตู้มีชั่วโมงละ 1 คัน รถรอบเร็วที่สุดเพิ่งออกไป เราต้องนั่งรออีก 1 ชม. นั่งชมนกชมไม้ โพสต์นู้นโพสต์นี่ใน IG ไม่นานรถตู้ก็มา เพื่อนร่วมเดินทางรถตู้คันเดียวกับเรามีแต่ต่างชาติทั้งนั้นเลยจ้า เราบอกคนขับว่าช่วยจอดตรงปากทางเข้าบ้านจ่าโบ่ให้ด้วยนะคะ นั่งรถทางตรง ๆ ออกจากตัวเมืองได้เเปปเดียว ก็ต้องขึ้นเขาเจอโค้งไปโค้งมากันอีกแล้ว อ่ะ โอเค ทำตัวเป็นนักเดินทางที่ดี เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม ทำตัวให้ชิน ๆ กับโค้งไป เดี๋ยวยังต้องเจออีกเยอะ555 นั่งรถมาได้ชั่วโมงกว่า ๆ คนขับรถก็จอด แล้วเดินมาเปิดประตูให้เราลง บอกว่าถึงแล้ว ตรงนี้ละทางเข้าบ้านจ่าโบ่ เราก็ อ้าว! ถึงแล้วหรอ ไวจัง สงสัยมัวแต่ชมวิวข้างทางเพลินไปหน่อย แต่พอลงจากรถเท่านั้นละ นี่ทางเข้าบ้านจ่าโบ่ จริงหรอ ทำไมมันเงียบเฉียบขนาดนี้เนี่ย เราจะใช้วิธีเดินทางเข้าบ้านจ่าโบ่ด้วยการโบกรถ เป็นการโบกรถแบบแบคแพคเกอร์ครั้งแรกในชีวิตการเดินทางของเราเลย เพราะอ่านรีวิวมา เขาบอกว่าจะเข้าบ้านจ่าโบ่มีอยู่ 2 ทางเลือกคือ โบกรถที่ผ่านมาเพื่อขอติดรถเข้าหมู่บ้าน หรือโทรให้คนในหมู่บ้านมารับ ด้วยความที่งบน้อย+อยากลองโบกรถ เลยเลือกใช้วิธีโบกรถ แบบลองดู เอาหน่อย ขอลองหน่อย แต่ก่อนจะตัดสินใจใช้วิธีนี้ก็คิดอยู่นานนะ แบบไม่เคย ไม่กล้า และเดินทางคนเดียวด้วยไง ไม่มีเพื่อนช่วยโบก สุดท้ายก็เลือกใช้วิธีโบกรถอยู่ดี กล้าเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์ค่ะ แล้วไปยืนรอจะโบกก็แทบจะไม่มีรถผ่านมาเลย พอคันแรกผ่านมาก็ไม่กล้าโบกไปอีก คันสอง คันสามก็ยังไม่กล้า จนสุดท้าย เอาว่ะ ลองโบกดูสักคัน รถกระบะชะลอรถ ลดกระจกลงคุยกับเรา เราถามก่อนเพื่อความมั่นใจว่ารถตู้ส่งเราถูกที่ 'ทางนี้ใช่ทางเข้าบ้านจ่าโบ่ไหมคะ' พี่เขาก็บอกว่าใช่ ได้ยินก็สบายใจ แต่พอจะขอติดรถไปด้วย พี่เขาก็บอกว่าอยากให้ไปด้วยนะ แต่พอดีรถมันเต็มเพราะพี่แกขนของมาเต็มรถเลย ไอ้เราก็โบกไม่ได้ดูเลยว่ารถเขาไม่มีที่ว่าง เลยต้องรอรถคันต่อไป จนมีรถใจดีคันนึงที่จอดดูอะไรที่ท้ายกระโปรงรถสักอย่าง แล้วพี่ผู้หญิงใจดีเจ้าของรถก็ตะโกนถามเราว่า 'น้อง ๆ จะเข้าไปบ้านจ่าโบ่หรือเปล่า' เราก็เลยรีบตอบไปว่า 'ใช่ค่ะ' พี่เขาเลยชวนเราขึ้นรถไปด้วย พี่คนนี้เป็นคนต่างจังหวัดแต่ย้ายมาเป็นคุณครูที่บ้านจ่าโบ่นานหลายสิบปีแล้ว พี่เขาเล่าว่าไม่กล้าจอดรับเราตอนแรก อันนี้เราเข้าใจเพราะพี่เขาขับรถเก๋ง ซึ่งเราก็ไม่ได้โบกเพราะการโบกรถควรต้องโบกกระบะ ถ้าเขาให้ไปด้วยก็กระโดดขึ้นกระบะหลังจะได้ปลอดภัยสบายใจกันทั้งคู่ แต่ด้วยความใจดีมีน้ำใจของพี่คุณครูก็เลยได้พาเรามาส่งถึงในหมู่บ้าจ่าโบ่ ตอนแรกที่นี่ไม่ได้อยู่ในลิสต์ของเรา แต่เพื่อนที่ชวนเรามาแม่ฮ่องสอนพูดถึง แล้วก็เห็นในโปรแกรมเดย์ทัวร์ที่เขาขายกันจะมีเขียนว่า ' ก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่ ' สงสัยว่าอะไร ยังไง ก็เลยไปเสิร์ชดู แล้วก็พบว่า เฮ้ย! ที่นี่น่าสนใจมาก ต้องแวะสักหน่อย ไหน ๆ ก็เป็นทางผ่านไปปายอยู่แล้ว ที่บ้านจ่าโบ่เป็นหมู่บ้านของชาวมูเซอ หรือเรียกว่าชาวลาหู่ก็ได้ เป็นชาวมูเซอที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่นานแล้ว ทำมาหากินตั้งรกรากกันอยู่ที่นี่เลย เคยอ่านมาว่าตอนที่อพยพมา มาโดยการนำของจ่าโบ่ คงจะเป็นเพราะอย่างนี้ที่นี่เลยชื่อว่า บ้านจ่าโบ่ อ้อ! แล้วคำว่า จ่า เป็นภาษาของชาวมูเซอ เป็นคำนำหน้าชื่อผู้ชายค่ะ ผู้หญิงจะใช้คำนำหน้าชื่อว่า นา ที่แรกที่เราไม่พลาดที่จะไปเช็คอินคือ ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา แต่เราทานก๋วยเตี๋ยวไม่ได้เพราะมีหมู เลยสั่งกาแฟจากคาเฟ่เล็ก ๆ ที่ติดกับร้านก๋วยเตี๋ยวแทน แล้วก็ไปนั่งห้อยขาชมวิว เป็นกาแฟห้อยขาแทน อิอิ คือวิวที่นี่ดีมาก ๆ ขนาดตอนที่หมอกจางไปแล้วนะเนี่ย ลองจินตนาการถ้าในภาพเป็นตอนที่มีหมอกลอยเต็มกลายเป็นทะเลหมอกวิวจะดีจะฟินขนาดไหน มีชาวบ้านหลายคนที่เราไปคุยไปซื้อของ เขาบอกเราว่า น่าจะค้างที่นี่สักคืนนะ พรุ่งนี้ตื่นมาจะเห็นทะเลหมอกสวยมาก ๆ แล้วก็บอกว่า เมื่อเช้าก็มีทะเลหมอกจนถึงตอนสาย ๆ เกือบ 10 โมงเลย แต่เรามาถึงช้าไป อดยลโฉมทะเลหมอกเลย แต่ชมวิวสวย ๆ เราก็โอเคแล้ว บ้านจ่าโบ่มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ทั้งการเรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรมของชาวลาหู่ การเดินป่า การขึ้นไปชมวิวบนภูผาหมอก ชมถ้ำผีแมน และสามารถนอนพักโฮมสเตย์ซึ่งเป็นบ้านของชาวบ้านมูเซอได้อีกด้วย บ้านจ่าโบ่เป็นหมู่บ้านที่เข้าร่วมกับ CBT หรือการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน ทุกอย่างมีระบบการจัดการที่ดีโดยคนในชุมชนเองและเงินทุกบาททุกสตางค์ก็ถึงชาวชุมชนโดยตรง กิจกรรมที่เราเลือกทำในครั้งนี้คือ การขึ้นไปชมวิวบนภูผาหมอก เพราะเราเป็นสาย Hiking อยู่แล้ว ซึ่งการขึ้นไปชมวิวนั้นต้องให้ชาวบ้านในชุมชนเป็นคนนำทางขึ้นไปค่ะ ค่านำทาง 100 บาท กับการเดินขึ้นเขา แบบขึ้นและขึ้นอย่างเดียว ตลอดทางขึ้นก็จะชันขึ้นเรื่อย ๆ ทางก็เป็นดินเป็นหินตลอดทาง แต่พอขึ้นไปถึง โอ้โห O-O *-* วิวอลังการงานสร้างสวยงามมากค่ะ นาเหมาะ คือผู้นำทางที่น่ารักและใจดีของเรา อาสาถ่ายรูปให้เรา ครีเอทจุดยืนถ่ายรูปให้ด้วยว่าตรงไหนสวยตรงไหนดี ^ ^ หลังจากลงมาจากภูผาหมอก เราขอเดินชมหมู่บ้านอีกสักหน่อย เลยได้มาเจอกับอีกหนึ่งคาเฟ่ที่เราว่าวิวดีไม่แพ้ตรงร้านก๋วยเตี๋ยวเลยแหละ เราแวะคาเฟ่สั่งน้ำสักแก้ว นั่งพักเหนื่อยสักนิดก่อน นั่งเพลินมากเพราะบรรยากาศที่นี่ชิลล์สุด ๆ และก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินทางต่อไปปายกันแล้ว เราว่าจะโบกรถออกไป แต่มันดูยาก เลยใช้วิธีจ้างให้ชาวบ้านในหมู่บ้านไปส่งเราที่ท่ารถตู้เปรมประชา ในตัวอำเภอปางมะผ้า น่าจะง่ายกว่า เเละเราก็ได้ใช้บริการพี่นาเหมาะคนเดิม แว๊นไปส่งเราที่ท่ารถในราคา 150 บาท ไม่ต้องตกใจ ราคานี้ไม่แพงเลยถ้าเทียบกับระยะทางที่ไกลมาก ถือว่าราคาถูกกว่าพี่วินในกทม.เยอะ กับระยะทางไม่ไกลก็คิดไป 70-80 แล้ว ซึ่งใครจะใช้วิธีเดียวกับเราในการมาขึ้นรถตู้กลับเข้าตัวเมืองแม่ฮ่องสอนก็ได้นะคะ นอกจากใช้บริการให้คนในหมู่บ้านมาส่งด้วยรถมอเตอร์ไซค์ ชาวบ้านเขาก็มีบริการแบบรถยนต์รับ-ส่งด้วยนะคะ แต่ในส่วนของราคานั้นไม่แน่ใจค่ะเพราะเราไม่ได้ใช้บริการด้วยตนเอง สำหรับการมาที่ บ้านจ่าโบ่ ครั้งแรกของเรานั้น เราประทับใจมากค่ะ ชอบที่นี่มาก ๆ เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ต่อให้ทุกคนได้อ่าน ถ้ามีโอกาสได้ไปแม่ฮ่องสอน แนะนำให้แวะไปเที่ยวที่บ้านจ่าโบ่นะคะ ไปนอนค้างสักหนึ่งคืนรอชมทะเลหมอกยามเช้า เราว่าทุกคนจะไม่ผิดหวังค่ะ