บุเรงนอง ชเวดากอง และ [ตะละแม่] ถ้าไปแม่สายก็จะต้องมีหนึ่งวันที่ข้ามฝั่งไปเที่ยวพม่าเมืองท่าขี้เหล็ก แต่ถ้าไม่มีแผนแสนไฮโซว่าจะ Shopping ในต่างแดนที่ตลาดแบรนด์เนม อย่างนี้ครึ่งวันก็โอเค พอได้บัตรผ่านแดนชั่วคราวเรียบร้อยก็ข้ามสะพานผ่านพิธีการทั้งสองฝั่ง ว่าแล้วก็เฉิดฉายในนามนักท่องเที่ยวจากเมืองไทยให้บันเทิง ที่หมายแรกอยู่ข้างหน้า จะว่าไปก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่มันเหมือนต้องไปถ่ายรูปด้วย ไม่รู้มันหรือเรากันแน่ที่เป็นดาราบ้ากล้อง [วงเวียน CITY OF GOLDEN TRIANGLE] วงเวียนธรรมดาที่มองดูก็ไม่เห็นใครหยุดถ่ายรูป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าห้ามถ่าย ออกจากวงเวียนก็เลี้ยวขวาตามเส้นทางบังคับ คือถนนหลักก็มีอยู่เส้นเดียวที่ควรเดิน การตะลุยซอยเล็กซอยน้อยไม่น่าจะใช่สิ่งที่ควรทำ เดินตรงไปตามทางไม่นานก็เจอเข้ากับอนุสาวรีย์บุคคลที่คนไทยรู้จักนามดี ทั้งในวิชาประวัติศาสตร์และในเพลงอมตะ [ผู้ชนะสิบทิศ] เมื่อเผชิญหน้าก็อยากแนะนำตัว [คารวะท่านบุเรงนอง ข้าคือบุเรงนอ มาจากเมืองโยเดีย] เราสบตากัน แวบนั้นนึกถึงอีกนาม [จะเด็ด] อยากขอเรียนวิชามหาเสน่ห์แต่เวลาน้อย รอบหน้าจะมาใหม่ ได้เรียนหลักสูตรระยะสั้นก็ยังดี พอคารวะลาก็เดินต่อจนถึงซอยที่มองเห็นความงาม [วัดพระเจ้าระแข่ง] แค่เห็นไกล ๆ ซุ้มประตูยังงามขนาดนี้ พอเข้าไปจึงเห็นความงามทั้งวัด โดยเฉพาะหลังคาที่ซ้อนหลายชั้นด้วยการก่อสร้างในแบบศิลปะพม่าโดดเด่นเป็นที่สุด หลังชมหลังคาจนอิ่มงามก็เข้าไปกราบนมัสการองค์พระด้านใน พลันได้ยินเสียงกึกก้อง จะว่าเสียงหวอก็ไม่ใช่ ออกไปดูจึงรู้ว่าเป็นเสียงจากการใช้มือลูบฆ้อง เสียงจากมือลูบฆ้อง! งง! แค่ลูบวน ๆ เบา ๆ เสียงออกมาดังหวูหวอแบบนั้นได้ยังไง พอได้จังหวะก็ลองบ้าง ผ่านไปหลายนาที ผลคือไม่มีเสียงสักหวีด หรือแม้แต่เสียงสั้น ๆ แค่หวิดก็ไม่มี มีแต่อาการแสบฝ่ามือเป็นที่ระลึก มองดูเวลาที่เดินหน้าไม่หยุดก็รีบออกจากวัดแล้วจ้ำไปยังเจดีย์ชเวดากองจำลอง [เจดีย์ชเวดากองจำลอง] ผ่านประตูเข้าไปไม่กี่ก้าว เจดีย์อยู่ทางขวา แต่ทางซ้ายมีแรงดึงดูดมหาศาล รีบเดินเข้าไปชมพระบารมีพระพุทธเจ้าที่นำเหล่าสาวกออกบิณฑบาต โอ ช่างเป็นภาพที่งดงามลึกซึ้ง แหงนมองฟ้าแสงยังมี เจดีย์ชเวดากองจำลองหุ้มเสื่อเพราะอยู่ในช่วงบูรณะ แม้ถูกห่อหุ้มแต่ความงามและความน่าเลื่อมใสไม่ได้ลดลงเลย จึงแสดงความศรัทธาด้วยการเดินวนหนึ่งรอบ เสร็จพิธีกรรมก็ลงจากเนินกลับเข้าเมือง ระหว่างทางผ่านอาคารสีหวานสะดุดตา มองดูเวลาอีกที สมองคิดนี่คือเส้นทางกลับ แวะเข้าไปให้ถึงธรรมอีกหน่อยคงไม่เสียหาย [วัดพระหยกขาว] องค์พระสีขาวนวลประดิษฐานอยู่ ณ แท่นประทับสวยงาม ด้านบนเป็นจิตรกรรมฝาผนัง นึกถึงวัดไทยก็อย่างนี้ ต่างกันเพียงตัวอักษรและงานศิลปะของชาติเท่านั้น อิ่มทั้งธรรมอิ่มทั้งถ่ายรูปก็ออกจากวัด พอถึงถนนใหญ่ก็เลี้ยวขวาโดยมีวงเวียนเป็นเป้าหมาย ระหว่างทางพบกับความเป็นพม่าอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือร้านขายหมากที่ทั้งคนซื้อคนขายเป็นวัยรุ่น พินิจดูใบหน้า ก็พบว่าเราหน้าตาเหมือนกัน คือถ้ายืนปน ๆ กันคงแยกไม่ง่ายว่าไหนไทยไหนพม่า จะมีความต่างกันชัด ๆ ก็ตรงที่คนไทยทาแป้งบนใบหน้าแค่ตอนก่อนนอน ส่วนคนพม่าทาได้ทั้งวัน แต่ถ้าใครไม่ทานี่หมดสิทธิ์แยกออก พอถึงวงเวียนก็เลี้ยวซ้าย ประตูผ่านแดนรออยู่ ฟ้ากำลังปิดและชีวิตกำลังเปลี่ยน เพราะเจอเข้ากับร้านเครื่องดื่มปลอดภาษี เลยกลายเป็นว่าฟ้าจะมืดก็มืดไป ด่านไม่ได้ปิดตอนนี้เสียหน่อย ฟองนวล ๆ กับบรรยากาศดี ๆ จิบอยู่ต่างแดนอย่างนี้จะสุนทรียะขนาดไหน แถมรูปแม่ที่พิงอยู่กับหลอดไฟทรงกลมก็รู้เห็นเป็นใจให้อยู่ต่อเสียด้วย จริงไหมครับแม่ [ทุกภาพโดย : f I l e b y N o r] Link ประตูผ่านแดนแม่สาย บทความอื่นของ f i l e b y N o r