ช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา พวกเราได้หลบหนีจากความวุ่นวายในเมืองหลวง ไปพักผ่อนกายใจที่จังหวัดกระบี่แบบฉุกละหุก! ทริปนี้เกิดขึ้นจากความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักที่อัดแน่นมาตลอดทั้งเดือน โจทย์ของเราง่ายๆ เลยคือ "ขอไปทะเล" และกระบี่ก็เป็นตัวเลือกแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว เพราะเป็นที่ที่เราเคยมาแล้วแต่ยังไม่ได้สัมผัสเสน่ห์อย่างเต็มที่ แม้ก่อนเดินทางจะได้รับข่าวพายุเข้าจนแอบหวั่นว่าทริปนี้จะกร่อย แต่สุดท้ายแล้วฟ้าก็เป็นใจให้เราได้พบกับความสวยงามที่ซ่อนอยู่! 📅 Day 1: ล่องลอยในยามค่ำคืนและหลงเสน่ห์เมืองกระบี่ หลังจากเลิกงาน เราก็รีบมุ่งหน้าสู่สนามบินดอนเมืองเพื่อขึ้นเครื่องบินของสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ในเวลา 19.00 น. แม้จะเป็นไฟลต์กลางคืนที่ผิดแผนไปจากปกติ แต่ก็ทำให้เราได้เห็นวิวกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนที่สวยงามเกินคาด!เมื่อเดินทางถึงสนามบินกระบี่ในเวลา 20.30 น. เราก็จัดการเช่ามอเตอร์ไซค์ที่จองไว้ล่วงหน้าทันที ซึ่งเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามาก เพราะนอกจากจะได้รับรถถึงสนามบินแล้ว ยังสามารถขับเที่ยวได้อย่างอิสระอีกด้วย ค่าเช่าเพียง 300 บาทต่อวัน พร้อมมัดจำ 1,000 บาทสำหรับผู้ที่มีตั๋วเครื่องบินไปกลับ (จากปกติ 2,000 บาท)เราเช่ารถกับร้านนี้ บัดดี้ รถมอเตอร์ไซค์เช่ากระบี่ Buddy Motorbike Rentalด้วยความที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของถนนคนเดิน เราจึงไม่พลาดที่จะขับเข้าตัวเมืองเพื่อสัมผัสบรรยากาศยามค่ำคืนของที่นี่ แม้จะไปถึงตอนสามทุ่มกว่าจนตลาดเริ่มวาย แต่ก็ยังคงมีดนตรีสดให้ฟังเพลินๆ ก่อนที่จะไปต่อกันที่ ตลาดปูดำ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประติมากรรมปูดำ สัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ริมน้ำ ที่นี่เราได้ลิ้มรส "เกี๊ยวไก่เด้ง" ชิ้นละ 10 บาทที่ราดน้ำจิ้มซีฟู้ดรสจัดจ้านจนฟินสุดๆหลังจากอิ่มท้อง เราก็เดินทางเข้าเช็กอินที่ Circle Inn Ao Nam Mao โรงแรมที่เราเลือกเพราะอยู่ใกล้ท่าเรืออ่าวน้ำเมา เพื่อสะดวกในการเดินทางไปไร่เลย์ในวันถัดไป ห้องพักสะอาดและใหม่เกินความคาดหมาย ทำให้การพักผ่อนคืนแรกของเราสมบูรณ์แบบ 📅 Day 2: พายคายัคสุดแอดเวนเจอร์และตะลอนเที่ยวจุดชมวิว เช้าวันที่สองเริ่มต้นด้วยอาหารเช้าแบบคนท้องถิ่นที่ร้านข้าวราดแกงใกล้ๆ โรงแรม ร้านนี้ไม่มีชื่อแต่รสชาติอร่อยและจัดจ้านตามแบบฉบับอาหารใต้แท้ๆ ที่สำคัญคือมีน้ำพริกและผักเคียงให้ฟรี!จุดหมายแรกของวันนี้คือ อ่าวท่าเลน ที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดพายคายัคที่สวยติดอันดับโลก ที่นี่มีเส้นทางให้เลือก 2 เส้นทาง เราเลือกเส้นทางสั้น 4 กม. และเลือกใช้บริการไกด์ท้องถิ่นนำทาง (ค่าบริการ 1,000 บาท) ซึ่งเป็นตัดสินใจที่ถูกต้องมาก เพราะเส้นทางภายในป่าโกงกางนั้นค่อนข้างซับซ้อนและเหมือนเข้าไปในเขาวงกตจริงๆ ตลอดทางเราได้สัมผัสกับธรรมชาติที่เงียบสงบ ชมถ้ำหินปูนและอ่าวลับที่สวยงามจนแทบลืมหายใจ แม้จะใช้พลังแขนไปเยอะ แต่ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่คุ้มค่าหลังจากพายคายัคเสร็จ เราก็เดินทางต่อไปยัง ควนนมสาว เนินเขาเล็กๆ ที่มีจุดชมวิวและคาเฟ่บรรยากาศดีๆ เรานั่งจิบน้ำผลไม้ปั่นเย็นๆ และได้คำแนะนำจากเจ้าของร้านให้ลองเดินขึ้นไปชมวิวบนจุดสูงสุด ซึ่งภาพที่เห็นนั้นสวยงามและน่าประทับใจกว่าตรงคาเฟ่มากนักจากนั้นเรามุ่งหน้าสู่ ดินแดงดอย อีกหนึ่งจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกที่สวยที่สุดในกระบี่ แม้เราจะมาในช่วงเที่ยงที่แดดร้อนจัด แต่ทัศนียภาพจากด้านบนก็ยังคงงดงามจนหายเหนื่อยเลยทีเดียวก่อนจะกลับไปขึ้นเรือไปไร่เลย์ เราได้แวะ คลองน้ำใส (คลองหรูด) หรือฉากในภาพยนตร์เรื่อง Jurassic World: Rebirth ที่นี่มีน้ำใสราวกับกระจก และเป็นแหล่งกิจกรรมยอดนิยมอย่างการพายเรือคายัคและเล่นน้ำ แม้เราจะไม่ได้ลงไปเพราะความอ่อนล้าจากกิจกรรมก่อนหน้า แต่ก็ถือว่าได้มาเก็บภาพสวยๆ เป็นที่ระลึก ช่วงบ่าย เรานั่งเรือหางยาวจากท่าเรืออ่าวน้ำเมาสู่ อ่าวไร่เลย์ (ค่าบริการคนละ 100 บาท) เมื่อถึงที่หมาย เราก็จัดการเช็กอินที่ ไร่เลย์ ปริ๊นเซส รีสอร์ท แอนด์ สปา จากนั้นเราก็ออกเดินสำรวจรอบๆ เกาะ ตั้งแต่หาดไร่เลย์ตะวันตกไปจนถึง หาดถ้ำพระนาง แม้ช่วงที่เราไปน้ำจะลงทำให้ยังไม่ได้เห็นความสวยงามอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังคงมีมนต์เสน่ห์ชวนให้เรากลับมาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นได้ไปถ่ายภาพแสงเหนือ และวอลค์กิ้งสตรีทยามค่ำคืน 📅 Day 3: ตามหาความลับของหาดถ้ำพระนางและสำรวจเมืองกระบี่ เช้าวันสุดท้ายเริ่มต้นด้วยการเดินกลับไปที่ หาดถ้ำพระนาง อีกครั้ง ซึ่งในตอนนี้ที่น้ำทะเลขึ้นแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าก็สวยงามจนตะลึง! น้ำทะเลใสราวกับแก้ว และชายหาดที่เงียบสงบยังไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ทำให้เราได้เก็บภาพสวยๆ และสัมผัสกับบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ของศาลพระนางในถ้ำได้อย่างเต็มที่ ก่อนที่จะกลับไปทานอาหารเช้าที่รีสอร์ทเมื่อกลับขึ้นฝั่ง เราได้แวะไปที่ สุสานหอย 75 ล้านปี แต่ด้วยความที่น้ำทะเลขึ้นสูง เราจึงไม่สามารถลงไปชมแผ่นหินฟอสซิลได้ แต่ก็ได้แวะเลือกซื้อไข่มุกแท้จากธรรมชาติที่ตลาดชุมชนเล็กๆ เป็นของฝากแทน จากนั้น เราขับมอเตอร์ไซค์ไปสัมผัสบรรยากาศที่แตกต่างกันของ อ่าวนาง ที่มีความคึกคัก และ หาดนพรัตน์ธารา ที่เงียบสงบและเป็นธรรมชาติ ก่อนที่จะแวะซื้อของฝากที่ร้าน จี้ออ ร้านของฝากชื่อดังของกระบี่ที่มาในคอนเซปต์เก๋ๆ ว่า "เก็บกระบี่กลับบ้าน" และแน่นอนว่าเราไม่พลาดที่จะซื้อขนมเต้าส้อที่ขึ้นชื่อของร้านก่อนกลับสนามบิน เราได้แวะเที่ยวในตัวเมืองกระบี่ เริ่มตั้งแต่ ศาลหลักเมือง ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละจังหวัดได้เป็นอย่างดี ตามด้วยการตามหา ขนมจีนไก่ทอด ในตำนาน ที่เราต้องเดินตามหาถึงสองร้านกว่าจะได้ทาน สุดท้าย เราได้แวะชม วัดถ้ำเสือ วัดชื่อดังที่มีไฮไลต์คือการพิชิตบันได 1,260 ขั้นเพื่อขึ้นไปชมวิวบนยอดเขาที่สวยงาม ก่อนจะไปปิดท้ายที่ ป่าในเมือง (มหัศจรรย์เขาขนาบน้ำ) แหล่งเรียนรู้ป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นจุดถ่ายภาพสัญลักษณ์ของกระบี่ที่ไม่ควรพลาด แม้เราจะไม่มีเวลาสำรวจป่าชายเลนอย่างเต็มที่ แต่ก็ได้เก็บภาพความประทับใจสุดท้ายไว้ในความทรงจำ ทริปกระบี่ 3 วัน 2 คืนนี้อาจจะสั้นไปนิด แต่ก็ได้เติมพลังกายและใจให้เต็มเปี่ยม และที่สำคัญคือทำให้เราได้เห็นว่ากระบี่ไม่ได้มีดีแค่ทะเล แต่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย! บ๊าย...บาย...เจอกันใหม่ทริปหน้าครับ พิกัด "กระบี่-อ่าวไร่เลย์" เรื่องและภาพโดย : ชยุต มังคลัง อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !