สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมจะพาท่านผู้อ่านทุกท่านไปเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งที่อยู่ทางตอนเหนือสุดของประเทศอินเดีย มีชายแดนติดกับ ฑิเบต ประเทศจีน และเป็นเมืองที่ผสมผสานวัฒนธรรมหลากหลายศาสนาเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะ ศาสนาพุทธ นิกายวัชรยาน ด้วยความที่เมืองนี้มีวัดพุทธอยู่หลากหลายแห่งเป็นวัดโบราณ บางแห่งอายุราว 1,000 ปีได้ และด้วยธรรมชาติ ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ วิวทิวทัศน์ อากาศที่หนาวตลอดปี เมืองนี้จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอินเดีย และเป็นเมืองที่คนไทยนิยมมาเที่ยวมาก เมืองนี้คือเมือง Leh เลห์ นั่นเอง "เลห์" (Leh) เป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ (Ladakh) ตั้งอยู่ตอนเหนือของประเทศอินเดีย หรือที่เรียกกัน "ทิเบตน้อย" (Little Tibet) ซึ่งอยู่สูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 12,000 ฟุต เลห์เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีภูเขาและก็เทือกเขาล้อมรอบ มีวัฒนธรรมและเชื้อชาติที่หลากหลาย วัฒนธรรมส่วนใหญ่มาจากทิเบต คนที่นี่จะมีทั้งคนทิเบต แขกอินเดีย แขกขาวแถบปากีสถานหน้าตาไม่เหมือนกับคนอินเดีย (มาเที่ยวเลห์เหมือนมาเที่ยวทิเบต) คนที่นี่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใจดี น่ารัก และเป็นมิตรมาก คนที่นี่ใช้ชีวิตแบบช้าๆ เรียบง่าย ความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับธรรมชาติที่รอบล้อมไปด้วยหุบเขา ทะเลสาบ และทะเลทราย เหมาะสำหรับคนชอบเที่ยวชอบสำรวจเส้นทางแห่งหิมาลัยที่ถูกซ่อนตัวอยู่ระหว่างเทือกเขาหิมาลัยและที่ราบสูงคาราโครัม การได้สัมผัสถึงธรรมชาติที่แปลกตาและสัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรมของผู้คนที่นี่ ขอแนะนำให้มาเที่ยวทิเบตน้อยแห่งอินเดีย ณ เลห์ ลาดักห์ อาหาร ที่พัก เลห์ มีทั้งโรงแรมและเกสต์เฮาส์ให้เลือกพัก หากซื้อทริปทัวร์มา (จ่ายแพงหน่อยแต่สบายมีคนบริหารจัดการให้ทุกเรื่องทุกอย่าง มีหน้าที่เที่ยวอย่างเดียว) หากจัดทริปมาเที่ยวกันเอง ค่าใช้จ่ายถูกลงมาหน่อยแต่ต้องติดต่อไกด์นำเที่ยวท้องถิ่นเอง ไกด์จะวางแผนการเที่ยว หาที่พัก และคนขับรถไว้ให้เรา นอกจากนั้นเราบริหารจัดการชีวิตของเราเองทั้งหมดตามแผนการเที่ยวที่ไกด์จัดการให้ ซึ่งแผนการเที่ยวสามารถปรับเปลี่ยนได้ ในครั้งนี้เราพักที่ Hotel Khan man sil โดยสามารถ walk in เข้าได้เลย ส่วนไฟก็ดับบ้างตามปกติของเลห์ น้ำก็ร้อนบ้างไม่ร้อนบ้าง อาบน้ำบ้างไม่อาบบ้างตามสมควร ช่วงกลางคืนน้ำที่นี่เย็นเป็นน้ำแข็งเลยทีเดียวถ้าไฟดับเครื่องทำน้ำอุ่นไม่ทำงานก็ตามนั้นเลยครับ wifi ติดบ้างไม่ติดบ้างเป็นเรื่องปกติ ที่พักสะอาด เจ้าของโรงแรมใจดีมากและเราค่อนข้างจะสนิทกับเจ้าของโรงแรมซึ่งเขาก็แนะนำสถานที่เที่ยวให้เรา ซึ่งเราเองก็มาครั้งแรกไม่ได้ศึกษาข้อมูลอะไรมาเลยและลุงเขาก็ใจดีมากติดต่อรถนำเที่ยวแบบ one day tour ให้เราในแบบราคาถูกมากอีกเช่นกัน ส่วนทำเลของโรงแรมดีอยู่หลัง Leh Palace meทำให้มองเห็นวิวพระราชวังได้อย่างเต็มตาและอยู่ ไม่ไกลจากเมนบาซ่า เดินได้แปปเดียว ออกมาจากโรงแรมเดินเลี้ยวซ้ายมาประมาณ 15 ก้าวก็จะเห็นแหล่งผลิตขนมปังที่อบด้วยเตาถ่าน คนที่นี่เค้าจะจิบชากันทั้งวันเพราะอากาศที่หนาวนั่นเอง และขนมปังที่อบด้วยเตาถ่านนั้นก็เป็นสิ่งที่ทานคู่กับชาแล้วเข้ากันซะเหลือเกิน เพียงเดินผ่านก็ได้กลิ่นหอมจนอดใจไม่ไหวต้องขอซื้อไปลิ้มลองสักหน่อย ซึ่งรสชาติและกลิ่นของขนมปังที่ออกจากเตาใหม่ๆก็ นุ่ม หอม อร่อย ผู้เขียนยังจำกลิ่นและรสชาดของขนมปังได้ดี ในเมืองเลห์มีร้านอร่อยๆ เยอะเลย ทั้งอาหารจีน อาหารไทย อาหารฝรั่ง ให้เลือกเยอะ ไม่ต้องกังวลมาก แต่ถ้าออกนอกเมืองไปแล้วตัวเลือกก็จะน้อยลง จนไม่มีตัวเลือกเลย เมนูแนะนำสำหรับท่านที่ไม่ชอบอาหารแขกคือข้าวไข่เจียว ข้าวผัด ส่วนใครสะดวกจะพกมาม่า ปลากระป๋อง น้ำพริกสูตรเด็ดจากไทย ก็ดีครับแต่ส่วนตัวผู้เขียนแล้วแนะนำให้ท่านลองทานอาหารที่นี่ดู กลิ่นเครื่องเทศจะไม่แรงมากนักรสชาติก็อร่อย หรืออาจเป็นเพราะผู้เขียนชอบอาหารอินเดียเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ไม่ทราบ เอาเป็นว่าก็ลองๆดูก็แล้วกัน สถานที่ท่องเที่ยวแคว้นลาดักห์ได้รับอิทธิพลแทบทุกอย่างมาจากธิเบต (Tibet) ทั้งวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ศาสนา รูปแบบการปกครอง แต่ปัจจุบันมีการแบ่งแยกดินแดน ทำให้แคว้นลาดักห์และทิเบตถูกแยกออกจากกัน ทิเบตอยู่ในเขตแดนของประเทศจีน ส่วนแคว้นลาดักห์กลายเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย นี่จึงเป็นสาเหตุที่เมืองเลห์และแคว้นลาดักห์ถูกขนานนามว่าเป็น Little Tibet การเริ่มต้นเที่ยวเมืองเลห์ให้สนุก ก็ควรจะเริ่มจากการไปเรียนรู้วัฒนธรรมและสถานที่สำคัญของเลห์กันครับ Leh Palace พระราชวังกลางเมืองที่ยังไงก็ต้องมาทุกคน เพราะพระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่กลางใจเมือง ขึ้นมาบนนี้เราจะได้เห็นวิวเมืองเลห์แบบ 360 องศากันเลย สวยมากๆ ภายในก็จะมีการประดับประดาพวกภาพเขียนให้ดู แต่เค้าห้ามถ่ายรูปนะก็เสียดายนิดหนึ่ง ข้อดีของคนไทยที่ไปเที่ยวอินเดียโดยเฉพาะเป็นนักศึกษาด้วยแล้วค่าเข้าสถานที่จะถูกมากๆ แบบปกติ 300 รูปีก็จะเหลือ 25 รูปีแบบนี้เลย ราคาเท่าคนอินเดียเที่ยวเลยครับ 30 รูปีนี่คือท่านสามารถเข้าวัด พระราชวังสำคัญรอบๆเมืองเลย์ได้ทั้ง 5 แห่งเลยนะครับ คุ้มมาก ถูกและดีมีที่ Leh หันไปหันมาก็ไปสะดุดตาที่ธงมนต์ 5 สี สัญลักษณ์ของชาวพุทธในเมืองเลห์ การมีไกด์ทำให้เรารู้ว่าทั้ง 5 สีนั้นมีความหมายที่แตกต่าง คือ สีแดง = Fire (ไฟ), สีขาว = Air (ลม), สีน้ำเงิน = Water (น้ำ), สีเหลือง = Land (ดิน), สีเขียว = Environment (ไม้) สะท้อนความเชื่อเรื่องความสมดุลของธาตุในร่างกายและธรรมชาติ ถ้าบ้านไหนนับถือศาสนาพุทธก็จะมีธงมนต์นี้ประดับอยู่บนตัวบ้านนั่นเอง Namgyal Tsemo Monastery Namgyal Tsemo Monastery ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงด้านหลัง Leh Palace สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1430 โดยกษัตริย์ Tashi Namgyal จะมีลักษณะเป็นอุโบสถเล็กๆ คำว่า Monastery ในภาษาทิเบตเรียกว่า Gompa (กอมปา) แปลว่า “สังฆาวาส” หรือ “พระอาราม” ใช้เรียกต่อท้าย ศาสนสถาน ซึ่ง 1 Monastery อาจจะมีวัดมากกว่า 1 แห่งก็ได้ คำว่า “วัด Temple” ในความหมายของคนทิเบต จะมีลักษณะเป็นอุโบสถเล็กๆ มีพระประทานอยู่ด้านใน ไม่ใช่วัดที่มีพื้นที่เยอะๆ เหมือนในบ้านเรานะครับตามความเชื่อของศาสนาพุทธ การสร้างวัดนั้นเป็นการสร้างบุญขั้นสุด แสดงถึงบารมี พระมหากษัติรย์ในพุทธศาสนาจึงมักสร้างวัดไว้มากมาย เพื่อแสดงถึงความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แคว้นลาดักห์ก็ได้รับอิทธิพลความเชื่อเช่นนี้มาเช่นกัน แต่ที่นี่นิยมสร้างวัดเอาไว้บนยอดเขาสูง ด้วยเชื่อว่าเป็นการยกให้พุทธศาสนาเป็นสิ่งบูชาสูงสุดนั่นเอง วัดส่วนใหญ่ที่นี่จึงสามารถมองเห็นได้ไกลจากที่ต่างๆ ทั่วเมืองสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวที่ Namgyal Tsemo Monastery คือการเข้าไปชมความงามของพระพุทธรูปทองแดง (แต่เคลือบทอง) ความสูงเท่าตึก 3 ชั้นของ Maitrieya Buddha (พระศรีอริยเมตไตรย์) และภาพเขียนสีภายในอุโบสถที่สวยงาม มีเอกลักษณ์มากๆ ครับซึ่งเป็นโชคดีของเรามากที่บังเอิญเรามาเที่ยวที่นี่ในวันสำคัญของชาวพุทธ คือวันวิสาขะบูชา ที่วัดแห่งนี้ก็จะมีพิธีกรรมสำคัญก็คือการที่ชาวเมืองขึ้นมาทำบุญไหว้พระที่วัดแห่งนี้และพากันเดินกลับด้วยการเดินลงเขาเพื่อไปประกอบพิธีซึ่งจะมีปรัมพิธีอยู่ด้านล่างใจกลางเมือง Leh ซึ่งในพิธีจะมีพระธิเบตนั่งสวดมนต์ซึ่งได้ยินไกลมาถึงวัดแห่งนี้เลยทีเดียว Shanti Stupa”หรือเจดีย์สันติภาพ เจดีย์สีขาวทรงโดมตั้งอยู่บนเนินเขาออกมาจากตัวเมืองเลห์สักหน่อย จุดนี้มีลมแรงตลอดเวลา ตัวเจดีย์นี้เริ่มสร้างปี 1983 แล้วเสร็จเมื่อปี 1991 โดยพระภิกษุชาวญี่ปุ่นร่วมมือกับพระลามะชาวเลห์ด้วยความตั้งใจที่อยากให้ศาสนาพุทธกลับสู่ต้นกำเนิด ณ ประเทศอินเดีย จึงได้เริ่มรวมเงินบริจาคจากชาวบ้านและรัฐบาล สร้างเจดีย์แห่งสันติภาพแห่งโลกนี้ขึ้น นอกจากการได้มาบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าแล้ว การได้มายืนชมวิวแบบ Panorama จากด้านบนเจดีย์ ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เลยครับ แสงยามเย็นของเมือง Changspa และวิวของ Namgyal Tsemo ท่ามกลางขุนเขาที่ทอดยาวสุดสายตานั้นงดงามจริงๆ Spituk Monastery หรือ Gompa เป็นหนึ่งในเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดกับเมือง Leh ประมาณ 8 กิโลเมตรจากตัวเมืองบนถนนเลห์ – ศรีนาการ์ นอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมที่ต้องปีนขึ้นไปหลายขั้นเพื่อไปที่วัด การปีนสู่อารามนั้นไม่ยากและเมื่อเราไปถึงอารามเรารู้สึกสงบสุขมากเมื่อคุณก้าวออกจากวัดแห่งจะมีจุดทิวทัศน์ที่งดงามและคุณจะรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้สัมผัสกับความงามและบรรยากาศแบบนี้ Thiksey Monateryได้รับฉายาว่า Mini Potala (โพทาลาน้อย) เนื่องจากผู้สร้างตั้งใจจำลองแบบมาจาก Potala Palace (พระราชวังโพทาลา) ที่ทิเบต วัดแห่งนี้เป็นหนึ่งในวัดที่สวยงามที่สุดในแคว้นลาดักห์ เป็นวัดสำคัญใน “นิกายหมวกเหลืองหรือนิกายเกลุกเปา” ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเลห์ไปประมาณ 17 กม. ฝั่งเหนือของแม่น้ำสินธุ Thiksey เป็นวัดสูง 12 ชั้น ประกอบด้วยอาคารฉาบด้วยสีแดงและขาวเรียงรายลดหลั่นตามเนินเขานับร้อยหลัง มีวัดย่อยๆ อยู่ภายในวัดใหญ่ถึง 10 วัด สร้างขึ้นครั้งแรกราวต้นศตวรรษที่ 14 โดยลามะชื่อ Sherab Zangpo แต่ต่อมาลามะ Pandal Sherab หลานของผู้ก่อตั้งได้ย้าย Thiksey Monastery มาอยู่ ณ ที่ตั้งปัจจุบันในปี คศ. 1430 แทน ประสปการณ์แสนประทับใจที่ผู้เขียนมีต่อเมืองแห่งนี้มีตั้งแต่เริ่มต้นเดินทางเข้าเมืองด้วยวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแปลกตา เพื่อนร่วมทางที่ดี เจ้าของโรงแรม คนขับรถ พ่อค้าแม่ขาย ตลอดจนผู้คนทั้งหมดใน Leh ทำให้ผู้เขียนรู้สึกได้รับความรักความอบอุ่น ตลอดจนการได้ตะลอนเที่ยววัดต่างๆที่สำคัญรอบๆเมือง Leh ได้ร่วมพิธีกรรมสำคัญของชาวพุทธและชาวเมืองนี้ ทำให้รู้สึกอิ่มใจ ได้บุญขึ้นมาทันที ยังไงซะ ผู้เขียนก็จะกลับไปเมืองแห่งนี้อีกครั้งให้ได้ คอยดู!!!! เครดิตภาพโดยผู้เขียน Pramet Klangmuenwai