10 เรื่องน่าทึ่งของระบบรถไฟญี่ปุ่น จัดเต็มความเร็ว ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย

คงมีไม่กี่ประเทศบนโลกนี้ ที่ใช้แค่ ระบบรถไฟ เพียงอย่างเดียวก็เดินทางทั่วถึงทั้งประเทศอย่างญี่ปุ่น ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพ นวัตกรรม และประสิทธิภาพระดับโลก เรามี 10 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับระบบรถไฟของญี่ปุ่น มาฝากทุกคนที่รับรองว่ารู้แล้วจะยิ่งทึ่งแน่นอน
10 เรื่องน่าทึ่งของระบบรถไฟญี่ปุ่น
1. รถไฟที่เร็วที่สุดในโลก
ญี่ปุ่นเป็นเจ้าของสถิติรถไฟที่เร็วที่สุดในโลก โดยสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 602 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นคือ "ชินคันเซ็น" หรือ "รถไฟหัวกระสุน" ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเดินทางในญี่ปุ่น ชินคันเซ็นได้เริ่มให้บริการในปี 1964 เพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่โตเกียว และนับตั้งแต่นั้นมา รถไฟหัวกระสุนของญี่ปุ่นก็เป็นผู้นำในการให้บริการขนส่งผู้โดยสารที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
คำว่า "ชินคันเซ็น" สามารถอ้างถึงทั้งเส้นทาง และขบวนรถไฟความเร็วสูง ส่วนคำว่า "รถไฟหัวกระสุน" มีที่มาจากช่วงเริ่มต้นของการวางแผนชินคันเซ็นในปี 1939 ซึ่งมาจากภาษาญี่ปุ่นว่า "ดังกัง เรชชะ" (弾丸列車) และยังสื่อถึงรูปทรงคล้ายหัวกระสุนของรถไฟชินคันเซ็นรุ่นแรก อย่างไรก็ตาม การออกแบบปัจจุบันได้ถูกปรับปรุงให้มีรูปทรงที่เพรียวลมและหลักอากาศพลศาสตร์มากขึ้น รวมถึงรูปทรงคล้ายปากเป็ด เพื่อลดปัญหาเสียงดังที่เกิดจากคลื่นเสียงเมื่อรถไฟวิ่งผ่านอุโมงค์
นอกจากนี้ ชินคันเซ็นยังเคยขนส่งผู้โดยสารถึง 11 ล้านคนภายในปีแรกของการให้บริการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันโดดเด่นของระบบรถไฟญี่ปุ่น
2. ความปลอดภัยสูงสุด
แม้จะเป็นรถไฟที่เร็วที่สุด แต่ระบบรถไฟของญี่ปุ่นก็มีความปลอดภัยสูงอย่างน่าทึ่ง โดยไม่มีรายงานอุบัติเหตุที่ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารเลยตลอดระยะเวลาเกือบ 50 ปีของการให้บริการอย่างต่อเนื่อง รถไฟชินคันเซ็นมีระบบเบรกอัตโนมัติพิเศษสำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหว
นอกเหนือจากระบบเบรกแล้ว ความปลอดภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในญี่ปุ่นโดยรวม ซึ่งเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อยสูง โดยมีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำมาก เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ คู่รัก นักเดินทางคนเดียว และครอบครัว นอกจากความปลอดภัยสูงแล้ว รถไฟญี่ปุ่นยังได้รับการดูแลรักษาความสะอาด และเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างไม่มีที่ติ
3. สถานีรถไฟที่ใหญ่ และคึกคักที่สุดในโลก
ญี่ปุ่นมีสถานีรถไฟที่คึกคักที่สุดในโลกถึง 45 แห่งจากทั้งหมด 51 แห่ง โดยอันดับ 1 คือ สถานีชินจูกุ (Shinjuku Station) ในโตเกียว ซึ่งมีผู้โดยสารผ่านเข้าออกถึง 3.6 ล้านคนต่อวัน สถานีนี้มีขนาดใหญ่มากจนมีการพัฒนาแอปพลิเคชันพิเศษเพื่อช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถนำทางภายในสถานีได้โดยไม่หลงทาง
สถานีอื่นๆ ที่คึกคักได้แก่ ชิบูย่า, อุเมดะ, อิเคะบุคุโระ และโยโกฮาม่า สถานีรถไฟของญี่ปุ่นยังมีความหลากหลายทางสถาปัตยกรรม และความสวยงาม ตัวอย่างเช่น สถานีรถไฟคานาซาวะ (Kanazawa Train Station) ที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมร่วมสมัยเข้ากับประตูโทริอิขนาดใหญ่ที่น่าประทับใจ และ สถานีเกียวโต (Kyoto Station) ซึ่งเป็นผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ขนาดใหญ่ที่มีทางเดินลอยฟ้าพร้อมทิวทัศน์อันงดงามของเมือง
4. สถานีที่เปิดให้บริการเพียงปีละ 2 ครั้ง
ตรงข้ามกับจากสถานีที่คึกคักที่สุด ก็ยังมีสถานีที่เงียบสงบที่สุด ญี่ปุ่นมีสถานีรถไฟที่เปิดให้บริการเพียงปีละ 2 ครั้งเท่านั้น นั่นคือ สถานีสึชิมะโนะมิยะ (Tsushimanomiya Station) ซึ่งจะเปิดเฉพาะวันที่ 4 และ 5 สิงหาคมของทุกปี เพื่อรองรับเทศกาลฤดูร้อนที่ศาลเจ้าสึชิมะ สถานีบนสาย JR Shikoku–Yosan Line แห่งนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นสถานีที่เงียบสงบที่สุดในญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้
5. 'พุชเชอร์' ผู้ช่วยอำนวยความสะดวกในการเข้าสู่ขบวนรถ
เนื่องจากระบบรถไฟเป็นวิธีการเดินทางที่ได้รับความนิยม และมีการใช้งานอย่างหนาแน่นในญี่ปุ่น บริษัทรถไฟญี่ปุ่นจึงมีการจ้าง "พุชเชอร์" (Pushers) หรือ "โอชิยะ" เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสารสามารถเข้าสู่ตู้โดยสารที่แน่นขนัดในช่วงเวลาเร่งด่วนได้ ซึ่งหลายๆ คนก็น่าจะเคยเห็นผ่านตากันมาบ้างแล้ว
การปฏิบัติหน้าที่นี้ต้องผ่านการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดถึง 6 เดือน เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ระบบรถไฟของญี่ปุ่นสามารถรักษาความตรงต่อเวลาได้
6. Ekiben ประสบการณ์อาหารกล่องรถไฟคุณภาพสูง
ส่วนใหญ่แล้วอาหารสำหรับซื้อไปกินบนรถไฟมักมีคุณภาพธรรมดา แต่ที่ญี่ปุ่นมี "เอกิเบ็น" (Ekiben) หรืออาหารกล่องที่จำหน่ายตามสถานีรถไฟซึ่งมีคุณภาพสูงจนกลายเป็นเอกลักษณ์ ปรุงสดใหม่ มักใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นที่สะท้อนถึงภูมิภาค มีให้เลือกหลากหลายชนิด ตั้งแต่อาหารง่ายๆ ไปจนถึงรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น และอาหารพิเศษประจำภูมิภาค
การนำเสนอเอกิเบ็นยังมีการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล และมาในภาชนะหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่กล่องไม้แบบดั้งเดิมไปจนถึงกล่องรูปทรงชินคันเซ็นที่ทันสมัย แม้ส่วนใหญ่จะเน้นข้าว แต่ก็มีอาหารญี่ปุ่นเกือบทุกชนิดในรูปแบบกล่องอาหารกลางวัน
7. สะพานรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก
สะพานเซโตะโอฮาชิ (Seto Ohashi Bridge) ของญี่ปุ่นคือสะพานรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก ด้วยความยาว 9,368 เมตร (5.8 ไมล์) สะพานรถไฟแห่งนี้เชื่อมต่อจังหวัดโอคายามะบนเกาะฮอนชู และจังหวัดคางาวะบนเกาะชิโกกุ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังมีรถไฟโมโนเรลแบบแขวนที่ยาวที่สุดในโลกอีกด้วย รถไฟโมโนเรลเมืองชิบะ (Chiba Urban Monorail) มีความยาว 15.2 กิโลเมตร และมี 18 สถานี ซึ่งทำให้เป็นการเดินทางด้วยรถไฟแบบกลับหัวที่ยาวที่สุดในโลก
8. ความหลากหลายของนักดูรถไฟในญี่ปุ่น
ที่ญี่ปุ่นมีความหลงใหลในรถไฟอย่างมาก สะท้อนได้จากการมีคำเรียกนักดูรถไฟมากกว่า 36 ประเภท คำทั่วไปสำหรับนักดูรถไฟหรือผู้ที่ถ่ายภาพรถไฟคือ "โทริ-เท็ตสึ" (tori-tetsu) อย่างไรก็ตาม ยังมีประเภทอื่นๆ เช่น "โนริ-เท็ตสึ" (ผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางด้วยรถไฟ), "เอกิ-เท็ตสึ" (ผู้ที่ชื่นชอบสถานีรถไฟ), "โอโตะ-เท็ตสึ" (นักดูรถไฟที่บันทึกเสียงรถไฟ), "โยมิ-เท็ตสึ" (ผู้ที่ชื่นชอบการอ่านเกี่ยวกับรถไฟ) และ "เอกิเบ็น-เท็ตสึ" (แฟนคลับข้าวกล่องเบ็นโตะที่จำหน่ายตามสถานีรถไฟ) แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของความสนใจในระบบรถไฟของญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
9. ตู้โดยสารสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ
เพื่อเพิ่มความปลอดภัย และความสะดวกสบายในช่วงเวลาที่มีผู้โดยสารหนาแน่น รถไฟใต้ดินของญี่ปุ่นมีตู้โดยสารพิเศษสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ แนวคิดนี้ได้รับการพิจารณาว่าเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่อาจเป็นประโยชน์หากนำไปปรับใช้ในประเทศอื่นๆ
10. การตรงต่อเวลา และมาตรการสำหรับความล่าช้า
ระบบรถไฟของญี่ปุ่นมีชื่อเสียงในด้านประสิทธิภาพ และความตรงต่อเวลาอย่างเคร่งครัด ในกรณีที่เกิดความล่าช้าซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก บริษัทรถไฟญี่ปุ่นจะแสดงความสุภาพ และจัดการอย่างเป็นระบบ โดยจะมีการขออภัยหากรถไฟออกจากสถานีเร็วไปแม้เพียง 30 วินาที และจะมีการมอบใบรับรองการล่าช้าอย่างเป็นทางการให้กับผู้โดยสารหากรถไฟมาสาย เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันกับนายจ้าง หรือสถาบันการศึกษา การตรงต่อเวลาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในวัฒนธรรมญี่ปุ่น นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางในญี่ปุ่นจึงมักจะประทับใจเสมอในประสิทธิภาพของรถไฟญี่ปุ่นที่ดำเนินการได้อย่างแม่นยำตลอดทั้งปี
====================