"สะบายดีครับ" หรือ "สวัสดีครับ"ในภาษาลาวนั่นเอง วันนี้ผมจะมาเขียนบทความเกี่ยวกับรีวิวการเดินทางท่องเที่ยวที่เมืองวังเวียง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นประเทศบ้านพี่เมืองน้องของประเทศไทยเรานั่นเอง โดยเมืองวังเวียง ได้รับสมญานามว่า " กุ้ยหลินเมืองลาว" ก็เนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีภูเขาหินปูนอยู่เป็นจำนวนมาก เหมือนกุ้ยหลินที่ประเทศจีน และยังมีธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อยู่มากๆ และยังเป็นเมืองที่รอคอยนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ สำหรับการเดินทางของผมนั้นเริ่มต้นที่นั่งรถบัสจากกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดอุดรธานีที่สถานีขนส่งหมอชิต โดยแนะนำให้เลือกรอบค่ำๆ เพื่อที่จะไปถึงอุดรธานีในเช้าตรู่ของอีกวัน ซึ่งแน่นอนสามารถนั่งได้ทุกบริษัทตามที่คุณพอใจขอให้รถบัสมาสิ้นสุดปลายทางที่สถานีขนส่งจังหวัดอุดรธานี เมื่อมาถึงบขส. ให้เดินไปที่ท่ารถประจำทางสายอุดรธานี-วังเวียง และไปซื้อตั๋วรถบัสในราคา 320 บาท โดยรถจะออกรอบเวลา 08:00 น. ซึ่งกองทัพต้องเดินด้วยท้องพวกเราจึงเหมาสามล้อเครื่องไปทานอาหารเช้าที่ร้านคิงส์โอชา ซึ่งเป็นร้านอาหารเช้าชื่อดังของจังหวัดอุดรธานี ขายไข่กระทะ ปากหม้อ เป็นต้น เมื่อทานเสร็จก็เดินกลับไปยังสถานีขนส่ง เพื่อรอถึงเวลารถออกรถโดยสารจะพาคุณข้ามด่านที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 จังหวัดหนองคาย ซึ่งการผ่านตม.ก็ไม่มีปัญหาอะไรขอเพียงแค่มีพาสปอร์ตเล่มเดียวเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี พอข้ามด่านลาวมาแล้วก็จะใช้เวลาอีกประมาณ3-4 ชั่วโมงจึงมาถึงเมืองวังเวียง รถบัสจะปล่อยให้ลงที่สถานีขนส่งเมืองวังเวียง ด้วยความที่เมืองค่อนข้างเล็กเราจึงเดินทางไปโรงแรมด้วยวิธีการเดิน ซึ่งถนนที่วังเวียงยังคงเป็นถนนลูกรังอยู่ ถ้าใครมาผมแนะนำให้สวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อกันฝุ่นมาด้วยครับ ในทริปนี้ผมเข้าพักที่โรงแรมวังเวียง กาแล็คซี่ เกสต์เฮ้าส์ ซึ่งผมประทับใจในโรงแรมนี้มากในทุกๆเช้าที่ผมตื่นขึ้นมา ผมมักจะเดินออกไปดูระเบียงเพื่อชมวิวภูเขาหินปูนในยามเช้า มันรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่วังเวียง แต่รู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์ด้วยซ้ำ วันแรกด้วยความที่มาถึงเย็นแล้วเราจึงพักผ่อนกันก่อนและเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้ โดยวันที่สองผมได้ซื้อทัวร์พายเรือคายัคล่องไปตามแม่น้ำซองกับผองเพื่อน ซึ่งเรือทุกลำจะมีบริการเสื้อชูชีพไว้อยู่แล้ว หากใครว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่ใช่ปัญหา คือแทบทุกบริษัทที่ขายทัวร์ในวังเวียงก็ย่อมมีโปรแกรมพายเรือคายัคล่องแม่น้ำซอง เพราะฉะนั้นหากใครอยากทำกิจกรรมนี้นั้นไม่ยากเลย เมื่อเสร็จจากคายัคทัวร์ ทางทัวร์ได้พาพวกเราไปที่บลูลากูนซึ่งเป็นลำธารน้ำสีฟ้าใสไหลเย็นเห็นตัวปลา โดยในวังเวียงมีหลายแห่งมาก แต่เราได้มาในแห่งที่สองซึ่งถือว่าน้ำใสสมคำร่ำลือจริงๆ เมื่อวันนี้เหนื่อยทั้งพายเรือและเล่นน้ำมาทั้งวันแล้วพวกเราจึงมาปลดปล่อยกันที่ ซากุระบาร์ บาร์ชื่อดังในวังเวียง ซึ่งเปิดตั้งแต่เย็นยันเที่ยงคืน เพลงดีมาก แดนซ์กันมันสุดๆไปเลยและค็อกเทลราคาประมาณแก้วละ 80 บาท เมื่อแดนซ์กันจนหมดพลังแล้วเราจึงกลับไปนอนพักผ่อน เพื่อที่จะเตรียมเดินทางท่องเที่ยวในวันพรุ่งนี้ต่อไป โดยวันนี้ผมได้เหมารถสามล้อไปที่ ผาเงิน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดในวังเวียงและก็เดินขึ้นเหนื่อยที่สุดในวังเวียงเช่นเดียวกัน โดยระยะทางไม่ไกลหรอกครับ แต่ทางค่อนข้างลาดชันต้องใส่รองเท้าผ้าใบในการเดินขึ้นเท่านั้น ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 40 นาที ถึงจะไปถึงจุดชมวิว บนจุดชมวิวมีมุมให้ถ่ายรูปมากมายอย่างเช่นด้านบนเป็นมอเตอร์ไซค์ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเค้ายกมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาได้อย่างไรในเมื่อทางมันชันขนาดนี้ ตรงนี้ก็เป็นอีกมุมนึงที่เต็มไปด้วยท้องทุ่งนาและภูเขาหินปูน ส่วนมุมนี้ทำให้รู้ว่าผาเงินอยู่ที่ประเทศลาวนั่นเอง จึงนำธงชาติมาปักเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของบนผาเลยฮ่าๆ หลังจากลงจากผาเงินแล้วเราจึงกลับไปพักผ่อนละเตรียมนั่งรถจากวังเวียงกับอุดรธานี ซี่งใช้วิธีเดียวกับขามาเลย ซึ่งรถบัสก็มาจอดที่สถานีขนส่งจังหวัดอุดรธานีแล้วพวกเราก็รอรถทัวร์นครชัยแอร์เพื่อที่จะนั่งกลับกรุงเทพมหานครกันต่อไปเป็นอันจบทริปที่สนุก สวยงามสุดๆไปเลยละครับและสุดท้ายขอกล่าวคำว่า "สะบายดีวังเวียง" วังเวียงโดยสรุปแล้วพอมาแล้วก็อยากมาอีกครับ เป็นเมืองที่ยังมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าการเดินทางภายในเมืองยังไม่สะดวกถนนหนทางยังไม่ค่อยดี แต่ด้วยความดิบของธรรมชาตินี่แหละครับที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาสัมผัสกับเมืองแห่งนี้ ผมก็หวังว่าเมื่อทุกท่านอ่านบทความนี้จบก็คงอาจจะอยากไปรู้จักกับเมืองเมืองนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ