ในช่วงวันหยุดยาวที่รัฐจัดให้หยุดชดเชยวันสงกรานต์ได้มีโอกาสไปเที่ยวกาญจนบุรีกับคณะกลุ่มพนักงานในบริษัทรู้สึกโล่งสบายใจหลังต้องกักตัวเองอยู่กับบ้านช่วงโควิคนานตั้งสามเดือน พอมีโอกาสไปเทียวก็เลือกไปเที่ยว จ.กาญจนบุรีด้วยมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งล้วนน่าไปทั้งนั้น เช่น เขื่อนศีรนครินทร์ เขื่อนวชิราลงกรณ์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว ทองผาภูมิ สังขบุรี น้ำตกเอราวัณ เขาช้างเผือก สวนน้ำเป็นต้น แต่ถ้าอยากไปไหว้พระก็ต้องไปวัดถ้ำเสือ ฟังชื่อน่ากลัวนึกว่าจะมีเสืออยู่ในวัด แต่เป็นเพียงรูปปั้นยืนเฝ้าอยู่หน้าวัด เรื่องประวัติความเป็นมาว่าทำไม? ถึงเรียกว่าถ้ำเสือ ไม่มีใคร? รู้ประวัติจริงรู้แต่ว่าได้สร้างขึ้นในปี 2516 จากสำนักสงฆ์เล็กๆไม่มีใครรู้จักแต่เมื่อได้บูรณะและได้สร้างพระพุทธรูปปางประทานพรท่านั่งสมาธิองค์ใหญ่และจัดว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุด มาประดิษฐานไว้หน้าโบสถ์ ก็ทำให้ผู้คนศรัทธาต่างหลั่งใหลมากราบสักการะเนืองแน่นแทบทุกวัน ทั้งรถทรัว รถตู้ รถส่วนตัว จอดกันเต็มไปถึงถนนเพราะความสวยงามและอยู่บนเชิงเขา เวลาจะขึ้นไปไหว้พระ ต้องขึ้นบันไดสูงหลายสิบขั้น แต่ถ้าไม่อยากเดินขึ้น เขาก็มีรถลากขึ้นไปไม่ต้องเดินให้เมื่อย แค่เสียค่าตั่ว 10 บาท ถูกแสนถูกแต่บางคนก็ไม่กล้านั่งด้วยเสียวกลัวความสูง บางคนก็ยอมเดินขึ้นบันไดดีกว่า ภายในวัดยังมีบันไดคดเคี้ยวให้เราเดินขึ้นไปชั้นบนสุด ซึ่งมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุอยู่ในเจดีย์ ชั้นบนสุดนับได้ 9 ชั้น แล้วมองลอดหน้าต่างก็จะเห็นทิวทัศน์ไปเกือบทั่วจังหวัดกาญจนบุรี วิวสวยงามแทบจะบอกว่าไม่เคยเห็นที่ไหน? จะมีทิวทัศน์ธรรมชาติงดงามเท่าที่วัดถ้ำเสือ ทั้งมีอากาศเย็นสบายบริสุทธ์ไม่มีมลพิษเลยถ้าอยากมาสูดอากาศบริสุทธ์ิและได้ไหว้พระด้วยรวมถึงการชมทิวทัศน์บนที่สูงขอแนะนำว่าที่วัดถ้ำเสือมีพร้อม สถานที่กว้างใหญ่ขนาดวัดสุทัศน์ เลยที่เดียว มีหลายจุดให้เราได้ถ่ายภาพกันจนแบตเกือบหมดเดินจนปวดน่อง นอกจากนี้ยังมีซุ้มขายของเป็นสินค้าให้เราได้ซื้อเก็บไว้เป็นของที่ระลึกอีกด้วย เรียกได้ว่ามาที่เดียวได้ครบหมด ขาดแต่ร้านอาหารเท่านั้นซึ่งต้องออกไปหาทานกันนอกวัด อีกที่หนึ่งที่จะบอกคือมีรอยพระพุทธบาทอยู่ภายในวัดด้วย ถ้าต้องการกราบสักการะพระพุทธบาทก็เข้าไปกราบในวัดถ้าเสือได้เรียกว่ามาที่เดียวก็ไหว้ได้หมด ไม่แปลกว่าทำไม?วัดถ้ำเสือถึงมีชื่อเสียงโด่งดังเร็วทั้งที่เพิ่งสร้างได้ไม่กี้่ 10ปีมานี้เองเด้วยความสวยงามของสถาปัตยกรรม การสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ปางประทานพรในท่านั่งประดิษฐานไว้หน้าประตูโบสถ์ มองเห็นเด่นชัดแต่ไกลซึ่งไม่มีที่ใดสร้างมาก่อน ช่วยดึงดูดใจผู้คนให้หลั่งใหลมาชมความงดงามในงานศิลปะและด้วยศรัธาของชาวพุทธที่ต้องการกราบไหว้องค์พระพุทธรูปอันเป็นตัวแทนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ชาวพุทธนับถือจึงมีผู้คนมากราบไหว้ไม่ขาด ออกจากวัดก็นั่งรถต่อไปอีกสัก 2-3 กิโลก็ถึง คาเฟ่ริมบัว ซึ่งเป็นร้านกาแฟให้เรานั่งจิบกาแฟไปชมดอกบัวในสระซึ่งมีเป็นร้อยๆดอก ทั้งบัวตูมบัวบานมีทั้งดอกสีเขียวดอกสีแดงแลดูงามสะพรั่ง บวกบรรยากาศเย็นสบายเหมือนนั่งอยู่ในทุ่งนา มีหาบรังนก ชิงช้าสะพานไม้ ให้เรายืนถ่ายรูปเรียกว่ามาแล้วใครไม่ถ่ายรูปเก็บไว้ดูก็เสียเที่ยวมา เมื่อถ่ายรูปกันเสร็จ ก็ขับรถต่อไปอีกประมาณ 10 กว่ากิโล แวะทานอาหารก่อนไปเที่ยวสะพานข้ามแม่น้ำแควหรือเรียกว่าสะพานมรณะ สงครามโลกครั้งที่2 ถือเป็นอนุสรณ์สถานให้เราได้คิดถึงความสูญเสียของคนไทยและต่างชาติที่ต้องมาเสียชีวิตเพราะสงคราม สะพานนี้จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวพร้อมกับได้ศึกษาประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกไปด้วย มีบรรดานักเรียน นักศึกษาพากันมาเป็นกลุ่มเพื่อมาดู และศึกษาไปด้วย ผู้คนที่มา จ.กาญจนบุรีจะต้องแวะมาดูทางรถไฟสายมรณะซึ่งมีระยะทางยาวไกลไปจรดประเทศพม่า นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังอันดับ1ของจ.กาญจนบุรี ถ้าต้องการไปเที่ยวแบบค้างคืนก็ไปที่เขื่อนศรีนครินทร์ เป็นเขื่อนกว้างใหญ่มากความลึกเขาว่าสูงเกือบเท่าตึก4ชั้น ถ้าอยากลงเล่นน้ำจะต้องใส่เสื้อชูชีพทุกคนเพราะความลึกของน้ำมันน่ากลัว ได้ไปล่องแพไปกับสายน้ำแสนจะคุ้มได้ชมธรรมชาติภูเขา ต้นไม้ บรรยากาศเย็นระรื่นด้วยสายลม ยิ่งช่วงเช้าและช่วงเย็นมานั่งเฝ้าพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตกดินช่างสวยงาม เมื่อมืดค่ำก็เข้านอนพักในรีสอรท์ซึ่งเรียงรายรอบๆริมเขื่อน หนุ่มสาวก็จะร้องเพลงสนุกสนาน วัยกลางคนก็จะนั่งตากลมชมแสงดาวจนดึกดื่นถึงจะเข้าห้องนอน มาแล้วก็ไม่อยากกลับด้วยบรรยากาศแสนสบายใจ จังหวัดกาญจนบุรี ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง ล้วนแต่มีชื่อเสียงด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ ถ้านับจะเที่ยวให้ทั่วคงต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์แต่ผู้เขียนมีเวลาหยุดเพียงไม่กี่วัน จึงนำมาเล่าสู่ให้ฟังเพียงบางส่วน ถ้ามีโอกาสก็อยากจะไปเที่ยวอีกและนำเรื่องราวมาเขียนให้ท่านได้อ่านอีก รูปทั้งหมดโดยนักเขียน